จากกรณีตำรวจจับกุมหนุ่มวัย 21 ปี ก่อเหตุหลอกเอาเงินเยียวยา”โควิด-19″ จำนวน 4,000บาท ไปจากนายบุญใหล มอมขุนทด หรือ “ลุงล้าน” หรือ “ลุงขายเฉาก๊วย” ในพื้นที่ อ.ปางช่อง จ.นครราชสีมา โดยช่วยทำรายการขอเงินเยียวยา 5,000 บาทผ่านอินเตอร์เน็ต เมื่อได้รับเงินก็พาลุงไปกด ATM แต่กดให้ลุง 1,000 บาท โดยบอกลุงว่าเขาให้แค่นี้ จากนั้นได้ทำรายการโอนเงิน 3,975 บาทเข้าบัญชีตนเอง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุดวานนี้ (16 เมษายน 2563) พนักงานสอบสวนสภ.ปากช่อง ได้คุมตัว นายพัฒนา รัปชัย อายุ 21 ปี วัยรุ่นคู่กรณีไปให้พนักงานอัยการส่งฟ้องต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว (ปากช่อง) ก่อนจะมีคำพิพากษา
โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ปรับเงิน 5,000 บาท จำเลยรับสารภาพโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้คืนเงินจำนวน 4,000 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย
ขณะเดียวกันโลกออนไลน์ได้ทราบข่าวความลำบากของ ลุงล้าน ต่างร่วมกันโอนเงินบริจาคไปในบัญชีธนาคารของลุงล้านเป็นเงินมากกว่า 148,000 บาทแล้ว ทำให้ ลุงล้าน รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากนี้จะได้นำเงินดังกล่าวไปเลี้ยงชีพดูแลครอบครัวต่อไป
ลำดับเหตุการณ์
นายบุญใหล มอมขุนทด หรือ ตาล้าน อายุ 71 ปี อาชีพขายเฉาก๊วย พักอาศัยที่ ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถูกนายพัฒนา รัปชัย หรือ อเล็กซ์ อายุ 21 ปี ทำทีอาสาลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยา ตามมาตรการช่วยเหลือประชาชนได้รับผลกระทบจากแพร่ระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล เนื่องจากไม่รู้เรื่องและทำไม่เป็น โดยใชับัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาปากช่อง ที่ตาล้านใช้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
ต่อมาวันที่ 15 เม.ย. นายพัฒนาแจ้งตาล้านว่าได้รับ SMS แล้ว ก่อนพาไปที่ตู้เอทีเอ็ม หน้าร้านสะดวกซื้อบนถนนธนะรัชต์ กม.4 นายพัฒนาฉวยโอกาสที่อาสากดเงินแทนตาล้าน โอนเงินต่างธนาคารผ่านระบบ ORFT เข้าบัญชีตัวเอง 3,975 บาท หักค่าธรรมเนียมธนาคาร 25 บาท แล้วกดเงินสด 1,000 บาทให้โดยที่ตาล้านไม่รู้ ภายหลังความแตกเพราะชาวบ้านระบุว่า รัฐบาลโอนเงินเยียวยามาให้ 5,000 บาท แล้วเมื่อปรับสมุดบัญชีพบว่านายพัฒนาแอบโอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง
ตาล้านจึงเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา กระทั่งตำรวจชุดสืบสวน ไปควบคุมตัวนายพัฒนามาดำเนินคดี เมื่อวันที่ 16 เม.ย. นายพัฒนาให้การรับสารภาพ อ้างว่าไม่คิดจะเอาเงินของตาล้าน แต่ช่วงที่มากดเบิกเงินจากตู้เอทีเอ็มของธนาคารเกิดอยากได้เงินขึ้นมา เพราะครอบครัวกำลังเดือดร้อน รถที่นำไปซ่อมไม่มีเงินจ่าย จึงเอาเงินของนายบุญใหลไปใช้ก่อน และวันนี้ตั้งใจจะขอยืมเงินจากญาติพี่น้องมาคืนให้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับกุมเสียก่อน
ล่าสุด เมื่อเวลา 19.47น. วันที่ 16 เม.ย. เฟซบุ๊ก “พัฒนา รัปชัย” ซึ่งเป็นผู้ต้องหาโพสต์ข้อความยาวเหยียด ระบุว่า ศาลจังหวัดปากช่องพิพากษาในคดีลักทรัพย์ ปรับ 5,000 บาท รอลงอาญา 2 ปีและคืนเงินทั้งหมด 4,000 บาทเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะกล่าวว่า ตนได้อาสาไปช่วยตาล้านเพราะเคยทำงานช่วยคนกับวัดมาเยอะ ทั้งเยี่ยมคนใน IDC เยี่ยมคนในคุก ดูแลคนแก่ที่ถูกทอดทิ้ง ส่งเด็กขาดโอกาสให้ได้เรียน ช่วยคนตกงานให้มีงานทำ ช่วยคนป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ที่กล่าวมานี้ไม่ได้ลบล้างความผิด แต่อ้างว่าพื้นฐานทำงานด้านสังคมสงเคราะห์อยู่แล้ว ไม่ได้มีความคิดว่าจะทำแบบนี้ แต่พอวันก่อนรัฐบาลอนุมัติเงินเข้าบัญชีตาล้าน รถยนต์ที่ใช้ทำมาหากินที่บ้านเสีย ประกอบกับช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี หาเงินไม่ได้ ที่บ้านขัดสน ไปลงทะเบียนให้พ่อกับแม่แล้วแต่ยังไม่ได้ ตาล้านไม่ติดใจเอาความ เป็นว่าจบคดีแล้ว เหลือเเต่เรื่องในศาลที่ต้องรอลงอาญาใช้เวรใช้กรรมที่ตนทำต่อไป
“ผิดก็สารภาพว่าผิดจริง ใครจะว่า ใครจะด่าอย่างไรก็ห้ามไม่ได้ เพราะเป็นผลของการกระทำของตัวเอง ต้องยอมรับให้ได้ เจตนาร้ายคือเจตนาร้ายผลมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว คนเรามันอดยากมันหน้ามืดตามัวไปหมด วินาทีนั้นไม่ทันคิดเลยว่าผลอะไรมันจะมากระทบบ้าง ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ด้วย และอีกอย่างผมเสียใจที่ทำให้แม่เสียใจด้วยการกระทำแบบนี้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนเขาภูมิใจหรอกที่ลูกไปก่อเหตุแบบนี้” นายพัฒนา กล่าว
นายพัฒนา ยังปฏิเสธว่าถูกตำรวจรวบตัวไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้นเวลาเกือบ 10.00 น. แต่งตัวกำลังจะออกจากบ้าน ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ปากช่อง มารับถึงบ้านโดยที่ไม่ได้ใส่กุญแจมือ เพราะไม่มีหมายจับ เป็นการไปเจรจาไกล่เกลี่ย จึงยังไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่เป็นคู่กรณี ส่วนที่ว่าจะหลบหนีนั้นไม่จริง เพราะเตรียมตัวจะเจรจาหลังจากที่ถูกจับผิดได้แล้ว
“สื่อเกรดต่ำบอกผมไปยืมเงินญาติพี่น้องเอามาจ่ายคืนลุง อันนี้ก็ไม่จริงครับ เมื่อเวลาประมาณบ่ายยังมีสื่อเส็งเคร็งออกมาโพสต์อยู่เลยครับว่า ยังจับตัวไม่ได้ ยังไม่คืนเงิน จนทัวร์ลงมาในอินบ๊อกเพื่อตามให้ลุง ตอนนั้นตอบไม่ทันจริงๆ แต่จะขอตอบจากโพสต์นี้ละกันครับ และอันนี้บอกนะครับว่าเจรจานัดคืนกันตั้งแต่เวลาประมาณ 11 โมงแล้ว” นายพัฒนา กล่าว
นายพัฒนายังกล่าวตอบโต้ในประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องของการเบลอหน้าผู้ต้องหา เรื่องเก่าที่หยิบมาเป็นประเด็นได้ชดใช้คดีเก่าเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งโทษทางสังคม บางคนโพสต์เรื่องเอกลักษณ์เฉพาะ พื้นเพครอบครัว หน้าตา รสนิยมทางเพศ ร่วมถึงบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้อง และอ้างว่าบางคนขู่จะทำร้ายสารพัด เคยทำให้หลายคนฆ่าตัวตาย เป็นโรคซึมเศร้าเพราะถูกรังแก วอนชาวเน็ตอย่าประนามรุนแรง กลัวตัวเองจะรับไม่ได้ แล้วคิดสั้น ไม่อยากให้ทำแบบนี้กับคนผิดในเคสอื่นๆ อาจจะไม่ได้มีนักจิตวิทยาดีๆ และเพื่อนดีๆ แบบตน
“จากข่าวนี้ทำให้มีคนช่วยเหลือลุงเป็นยอดกว่า 100,000 บาท ฝากไปถึงลูกหลานลุงและคนอื่นๆ ที่อาจมีผู้ใหญ่สูงอายุที่ต้องทำงานว่า ขอให้ดูแลท่านเหล่านี้ดีๆ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อให้กับคนแบบผม และขอให้ดูแลให้ตลอด ไม่ใช่เฉพาะตอนที่พวกมีเงิน อันนี้ขอฝากสังคมให้ไปคิด รวมทั้งเรื่องนโยบายช่วยเหลือเยียวยา คนบางคนเอื้อมไม่ถึงจริงๆ ก็มี ไม่ว่าจะเรื่องโทรศัพท์ เรื่องอินเตอร์เน็ต ความรู้ในการใช้เทคโนโลยี ฝากกระซิบถึงว่า รมต.คลังว่าถ้าเคสนี้ประชาชนไม่ช่วยเหลือกันเอง ท่านจะมีมาตราการอย่างไรที่จะช่วยเหลือคนพวกนี้ ขอฝากในฐานะที่มีประสบการณ์ตรงกับคนในสลัม” นายพัฒนา กล่าว
ในตอนท้าย นายพัฒนาได้กล่าวขอโทษหลายฝ่าย และกล่าวว่า เรื่องเสียงวิพากษ์วิจารณ์คงห้ามไม่ได้ ได้แต่ตั้งหน้ารับกรรมในสิ่งที่ตัวเองทำไป จากนี้ไปขอกลับตัวกลับใจจริงๆ รู้สึกผิดและแย่กับตัวเองจริงๆ ไม่มีครั้งที่ 3 พอหยุด คดีจบแต่ชีวิตต้องเดินหน้าต่อ ขอทำวันต่อๆไปให้ดีที่สุด กราบขอโอกาสจากสังคม ที่โพสต์ไม่ได้ต้องการจะแก้ตัว แต่ขอพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในมุมของตัวเองบ้าง และจะไม่เอาผิดกับคนที่โพสต์หมิ่นประมาทเรา เพราะเตรียมใจตั้งแต่อยู่ในห้องกักขังแล้วว่าสังคมที่เราเคยอยู่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หากมีข่าวตามทีวีหรือในเว็ปอะไรที่เห็นว่าเท็จขอให้อ้างตามโพสต์นี้