ฉันไม่อยากจะโทษพงศกรเลย สำหรับกรณีการกระทบกระทั่ง…ไม่ลงรอยกันทางความคิดระหว่างฉันกับเขา ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นแผลเรื้อรังมาเนิ่นนาน จนมาถึงบัดนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเน่าเฟะและส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งลุกลามไปทั่วแล้ว
‘ผมอาจจะเป็นส่วนเกิน สำหรับครอบครัวของคุณ’
เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ก่อนจะตัดสายสนทนาของฉัน ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมาด้วยความน้อยใจ ฉันรู้จักเขาดีเกินกว่าจะหลับหูหลับตาทำเป็นไม่รู้ และพยายามคิดไปให้ตัวเองสบายใจว่า นั่นคือการประชด
ฉันยอมให้พงศกรปลูกต้นรักลงบนแผ่นดินหัวใจของฉันเมื่อเกือบหกปีที่แล้ว ซึ่งก็ดูเหมือนว่ามันจะเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขางดงามจนเรียกได้ว่า ‘กำลังจะไปได้สวย’ เลยทีเดียว จะมาสะดุดก็เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ เมื่อเขาเอ่ยปากขอฉันแต่งงาน
การที่เขาอยากอยู่กับฉัน…แต่ไม่อยากจะอยู่ร่วมบ้านกับแม่ของฉัน ถือเป็นการรดน้ำร้อนลงไปบนต้นรักของฉันกับเขาโดยแท้
‘แม่คนเดียว เธอดูแลไม่ได้หรือไง?’
พี่สาวคนรองเคยทำเสียงขุ่นถามฉันทางโทรศัพท์ … ถามฉันด้วยประโยคที่เธอก็คงไม่เคยถามตัวเอง แต่ก็ช่างเถอะ ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องแค่นี้ ในเมื่อพี่ชายคนโตและพี่สาวคนรองต่างก็แต่งงานแยกไปสร้างครอบครัวใหม่กันหมดแล้ว น้องสาวคนสุดท้องอย่างฉันก็ต้องแบกรับภาระดูแลแม่เป็นธรรมดา
‘เหอะน่า นึกเสียว่าเอาบุญ แกก็ยังไม่ได้แต่งงานนี่’
เสียงของพี่ชายคนโตยังแว่วอยู่ในมโนสำนึก
แต่วันนั้น มันเป็นคนละวันกันกับวันนี้….
วันที่พงศกรขอฉันแต่งงาน หากเขาจะขอฉันแต่งงานพร้อมกับขอหอมแก้มฉันสักฟอด ฉันก็คงจะกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในรอบปี ทว่าสิ่งที่เขาขอจากฉันพร้อม ๆ กับการขอแต่งงาน กลับทำให้ฉันอดนึกสมเพชตัวเองขึ้นมาไม่ได้
‘ผมขอล่ะ… เราจะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลท่าน ‘ที่นั่น’ ก็ใช่ว่าจะลำบากเสียเมื่อไหร่ ดีเสียอีก ท่านจะได้มีเพื่อนที่รุ่นราวคราวเดียวกันกับท่าน คอยอยู่เป็นเพื่อนคุยยามที่ท่านเหงา’
ใช่แล้ว… ‘ที่นั่น’ ของเขา หมายถึง บ้านพักคนชรา!