ในกระบวนพระเครื่องเมืองพิษณุโลกด้วยกันแล้ว พระนางพญา จะมาเป็นอันดับ 1 ของพระเครื่องยอดนิยม ที่ประดานักนิยมพระหรือประชาชนทั่วไปรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ พระท่ามะปราง จากกรุที่ได้รับฉายาว่า เงี้ยวทิ้งปืน นั้น ยังโด่งดังหนักเข้าไปอีก คือ ดังในระดับ อยู่ในประวัติศาสตร์กันทีเดียว
ดังอย่างไร, และเหตุไฉน เงี้ยว ถึงกับต้องวิ่งทิ้งปืนกันอุตลุดเช่นนั้น อดใจไว้สักนิดเดี๋ยวก็รู้ และก่อนอื่นผมขอพาท่านไปรู้จักกับต้นตอที่มาของ กรุพระอันสำคัญของพระสกุลนี้เป็นปฐมก่อนไว้ดังนี้….
วัดท่ามะปราง กรุพระ เงี้ยวทิ้งปืน
วัดท่ามะปราง เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน นอกกำแพงเมืองทางทิศใต้ ปัจจุบันสภาพของวัดส่วนมากได้สร้างขึ้นใหม่ แต่หลักฐานเก่า ๆ บางชิ้นที่ยังหลงเหลืออยู่ ได้แสดงให้รู้ว่า พระอุโบสถก็ดี, หรือพระเจดีย์บางองค์ที่คงอยู่ปัจจุบันนี้นั้นก็ดี อาจมีการสร้างทับของเก่าไว้ก็ได้
ได้มีผู้เล่ากันว่า วัดท่ามะปราง ที่เมืองพิษณุโลกนี้ เดิมชื่อ วัดท่าพระปรางค์ และยังเข้าใจว่าได้สร้างกันมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยายุคต้นแล้ว นอกจากนั้นยังกล่าวกันว่าเมื่อก่อนนั้น ที่เรียกกันว่า วัดท่าพระปรางค์ ก็เพราะที่หน้าวัดใกล้ ๆ กับท่าน้ำนั้น ได้มีพระปรางค์ใหญ่ตั้งอยู่ด้วย เขาจึงเรียกชื่อวัดว่า วัดท่าพระปรางค์ อย่างที่เห็น ๆ กันสมัยโน้นนั่นแหละครับ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีนักเลงพระรุ่นอาวุโสท่านหนึ่งได้เล่าให้ผมฟังว่า เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ว่า วัดท่ามะปราง ชื่อเดิมเรียกว่า วัดท่าพระปรางค์ แต่พอต่อมากลับเรียกเพี้ยนเป็น วัดท่ามะปราง แล้วยังได้เรียกกันต่อมาจนบัดนี้นั้น อันที่จริงแล้วหาเขาได้เรียกชื่อเพี้ยนไปไม่ เพราะแต่เดิมนั้นได้มีผู้เล่ากันอีกว่า เมื่อก่อนนั้นรอบบริเวณวัดนี้ได้มีต้นมะปรางชูช่อออกลูกกันให้สลอนอยู่ก่อนแล้วจริง ๆ ฉะนั้นคำว่า วัดท่ามะปราง ชื่อนี้ ถ้าที่ศาลา ท่าน้ำ ของวัดนั้น ไม่มี ต้นมะปราง อยู่แล้ว เขาก็คงไม่เรียก วัดท่ามะปราง กันอย่างนั้น ให้เชยหรอกครับ
วัดท่ามะปราง จะมีต้นมะปรางขึ้นที่ท่าน้ำจริงหรือไม่ หรือว่าใครคนหนึ่งเกิดยักย้ายคำว่า พระปรางค์ ให้กลายเป็น มะปราง ไปก็หาใช่เป้าหมายของเราไม่ แต่สิ่งที่น่าเชื่อได้ก็คือ วัดท่าพระปรางค์ จริง ๆ นั้น ได้มีผู้เฒ่ามากท่านกล่าวกันว่า โบราณสถานที่ปรักหักพังส่วนหนึ่งของวัดนี้ เดิมได้ถูกน้ำเซาะพังและจมลงไปในแม่น้ำนานมาแล้วกว่า 70 % สิ่งที่วัดจะหลงเหลือของสำคัญอยู่ก็เพียงบางส่วน ที่จมน้ำเข้าใจกันว่าคงจะอยู่ขึ้นไปทางเหนือ ใกล้กับ วัดท่ามะปราง ปัจจุบันนี้นั่นเอง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีผู้ไปขุดพบพระเครื่องพิมพ์ท่ามะปรางกับพระพุทธรูป ได้ในย่านใกล้ ๆ กับวัดดังกล่าวนั้นจำนวนมิใช่น้อย
ถัดจากเรื่อง วัดท่าพระปรางค์ ที่ต้องกลายมาเป็น วัดท่ามะปราง ผ่านไปแล้ว ต่อไปนี้ผมก็จะขอนำท่านเข้าสู่กรุพระเครื่องพิมพ์ท่ามะปราง ยอดพระเครื่องชื่อดังของเมืองพิษณุโลกกันต่อไปนี้…
เปิดกรุพระแจกทหารไปปราบเงี้ยว
ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นเอง ประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า…มีข่าวลงมาจากเมืองแพร่ว่า มีเงี้ยวประมาณ 500 คน ภายใต้การนำโดยหัวหน้าชื่อ ปะกาหม่อง เข้าปล้นเมืองแพร่แล้วทำลายบ้านเรือนราษฎร เผาที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข ทั้งยังฆ่าฟันราษฎรตายกันเป็นจำนวนมาก พระยาสุรราชฤทธานนท์ ข้าหลวงประจำมณฑลพร้อมด้วยคณะกรรมการเมืองอีก 32 นาย ได้ถูกเงี้ยวก๊กนี้ฆ่าตายหมด แล้วเจรจาเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเทพวงศ์เจ้านครแพร่ กับชาวเมืองให้ร่วมกันเป็นขบถอย่างอาจหาญในครั้งนั้น
เมื่อข่าวนี้ได้แพร่เข้ามาถึงกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ให้เป็นแม่ทัพยกไปปราบเงี้ยวทันที
เกี่ยวกับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีเป็นแม่ทัพนำทหารไปปราบเงี้ยวครั้งนั้น ได้มีเรื่องเล่ากันว่า…ขณะที่กองทัพผ่านไปพิษณุโลกนั้น ท่านแม่ทัพก็ได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่ของ พระท่ามะปราง กรุวัดท่ามะปราง ว่าศักดิ์สิทธิ์คงมีดคงปืนได้วิเศษนัก ก็เลยสั่งให้มีการเปิดกรุพระท่ามะปรางออกมาเป็นทางการเป็นครั้งแรกของเมืองพิษณุโลก เมื่อได้นำพระออกจากกรุพระปรางค์ใหญ่แล้ว ก็ได้แจกจ่ายให้ทหารไว้คุ้มครองตัวเนื่องในการไปออกศึกเพื่อไปปราบเงี้ยวครั้งนั้นโดยถ้วนทั่วกัน
ก็เป็นอันว่าบัดนี้ พระท่ามะปราง ของกรุ วัดท่ามะปราง ก็ได้แตกกรุออกมาและได้ร่วมออกศึกไปกับกองทหารของเจ้าพระสุรศักดิ์มนตรีเพื่อพิชิตเงี้ยวแล้ว และเมื่อกองทัพของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีขึ้นไปถึงเมืองแพร่แล้ว ก็ได้มีการสู้รบกับพวกเงี้ยวอย่างอาจหาญทันที……
ทหารไทยสู้กับเงี้ยวที่เมืองแพร่ครั้งนั้น ได้มีผู้เล่ากันต่อ ๆ มาว่า การสู้รบกันครั้งนั้นพวกเงี้ยวจำนวนมากต้องถึงกับโยนปืนทิ้ง วิ่งหนีทหารไทยเข้าป่าไปดื้อ ๆ ที่หนีไม่ทันก็นั่งลงยอมแพ้ยอมให้จับแต่โดยดี สึกเงี้ยวครั้งนั้นได้พินาศจบลงอย่างรวดเร็ว เงี้ยวถูกจับได้ 195 คน ท่านแม่ทัพได้สั่งประหารชีวิตทั้งหมดในทันที ณ ที่เมืองแพร่นั่นเอง
เหตุที่พระได้ชื่อว่า เงี้ยวทิ้งปืน
ท่านผู้อ่านที่รัก เหตุที่เงี้ยวถึงกับโยนปืนทิ้ง ไม่ยอมต่อสู้กับทหารไทยวิ่งหนีเข้าป่าเอาดื้อ ๆ ไปนั้น ถ้าเป็นผมก็เห็นจะต้องห้อหนีไปอย่างนั้นเหมือนกัน ก็จะไม่ให้หนีได้อย่างไงเล่า เงี้ยวยิงโป้ง ทหารไทยคว่ำ แล้วกลับลุกขึ้นเดินเข้าสู้กับพวกเงี้ยวอีก เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเวลา เงี้ยวฆ่าไทยก็ไม่ตาย เหมือนสู้กับทหารผีอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เงี้ยว จะสู้ไปไยจึงโยนปืนทิ้งวิ่งหนีป่าราบไปดีกว่า…นั่นคืออภินิหารอันวิเศษสุดของ พระท่ามะปราง ยอดพระชื่อดังของเมืองพิษณุโลกที่ได้ชื่อว่า เงี้ยวทิ้งปืน ที่ทหารได้รับแจกให้ติดตัวไปในการรบกับเงี้ยวในครั้งนั้นทุกคน
ชัยชนะจากการปราบเงี้ยวสำเร็จได้โดยรวดเร็วในครั้งนั้น ก็เพราะพระเครื่องพิมพ์ท่ามะปรางจากกรุงเมืองพิษณุโลก ที่เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีได้นำออกแจกจ่ายทหารก่อนออกรบนั้น นับว่ามีส่วนช่วยการศึกครั้งนั้นไว้อย่างมาก เหมือนกับครั้ง เสื้อยันต์ ของหลวงพ่อจาด ที่เคยได้สำแดงเดชไว้เมื่อคราวศึกอินโดจีนมาแล้ว นับเป็นปาฏิหาริย์ที่คล้ายกันมากทีเดียว
ถ้าท่านนึกถึงพระพุทธคุณของพระท่านมะปรางที่ทหารไทยนำท่านไปออกศึกคราวนั้นไม่ออกละก้อ จงจำง่าย ๆ ว่า เงี้ยวได้ระดมยิงทหารไทย จนกระสุนต้องกายแต่ไม่วายชีวา แถมเมื่อล้มแล้วยังลุกบุกสู้พวกเงี้ยว จนเงี้ยวถึงกับโยนปืนทิ้งวิ่งหนีเข้าป่าไปราวกับโดนผีหลอกเอากระนั้น
นั่นแหละครับ, คือการแสดงออกของพระพุทธคุณจากพระท่ามะปราง กรุวัดท่ามะปรางพิษณุโลกที่ได้รับฉายามาว่า เงี้ยวทิ้งปืน ที่สำแดงอิทธิฤทธิ์ให้เราได้เห็นเป็นปฐมฤกษ์ไว้เมื่อครั้งไทยปราบเงี้ยวมาแล้ว
โดยอาจารย์ ประชุม กาญจนวัฒน์