พระ “ปรุหนัง” อยุธยา

พระกรุ

“พระปรุหนัง” พระเครื่องประเภทประณีตศิลป์ ซึ่งกำเนิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 1915 (สมัยอยุธยายุคต้น) พระเครื่องพิมพ์นี้ช่างแห่งกรุงอโยธยาได้ให้ “พิมพ์” แหวกกลิ่นไอสงครามออกมาได้อย่างอลังการเป็นเลิศ เหนือพระเครื่องเนื้อชินของอยุธยาทั้งหมด!

“พระพิมพ์ปรุหนัง” มีปรากฏอยู่หลายเมือง แต่ที่เมืองอยุธยาเป็นกรุต้นกำเนิด มีอายุสูงกว่า พระเครื่องพิมพ์นี้มีสร้างทั้งชนิดเนื้อชินเงิน (แข็ง) กับเนื้อชินปนตะกั่ว หรือ ที่เรียกกันว่า “ชินสังฆวานร” นอกจากนั้นชนิดเนื้อดินก็มีด้วย

ได้มีผู้พบ “พระปรุหนัง” ครั้งแรกที่กรุวัดพุทธไธสวรรย์ เมื่อพ.ศ. 2450 ต่อมายังพบที่กรุวัดพระศรีสรรญเพชญ์ และที่กรุวัดมหาธาตุด้วยพระปรุหนังเมืองอยุธยา ยังมีขึ้นเป็นลำดับมาอีกหลายกรุ ทั้งหมดนั้นต่างก็แยก “พิมพ์” ออกไปได้หลายแบบด้วยกัน เช่น
1. พิมพ์บัวเบ็ด (นิยมกันมาก)
2. พิมพ์บัวกางปลา
3. พิมพ์บัวกลีบ (แบบขนมต้ม)
4. พิมพ์ปรุหนังเดี่ยว
5. พิมพ์ปรุหนังลีลา เป็นต้น

พระเครื่องยอดอลังการที่เรียกว่า “พระปรุหนัง” นี้ ก็เพราะ “พิมพ์” ของท่านเกิดเป็นแบบฉลุปรุโปร่งจนดูคล้าย “หนังตะลุง” เข้าเรียกกันว่า “พระปรุหนัง” ตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ ใครที่มีท่านบูชาไว้นับว่าโชคดีที่สุด

เพราะนอกจากจะได้วัตถุโบราณที่เลิศค่าอายุกว่า 600ปี แล้ว ของสิ่งนี้ยังขลังด้านแคล้วคลาดคงกระพัน และยังเป็นพระมหาอุตม์อีกด้วยกรับ

จากการรณรงค์สงครามซึ่งติดพันกันอยู่เกือบทุกรัชกาลนั้น เป็นเหตุหนึ่งให้กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี และตลอดระยะเวลา 417 ปี ในสมัยนั้นกรุงเก่าจึงเต็มไปด้วยพระคณาจารย์ผู้ยิ่งยงด้านวิทยาคมไว้มากท่าน พร้อม ๆ กันนั้นปฏิมากรรมของขลังมากพิมพ์ก็ได้กำเนิดขึ้นมามากกว่าสมัยใด ๆ ทั้งสิ้น และที่กล่าวกันว่าศิลปินแห่งกรุงอโยธยามักจะขาดสมาธิจนเป็นเหตุให้วิจิตรศิลป์จากปฏิมากรรมรูปเคารพนั้น ๆ ต้องเสื่อมทรามลงเพราะการรบราฆ่าฟันกันเป็นมูลเหตุ แต่…

พระเครื่องหนึ่งก็ได้หลุดจากจินตนาการของช่างยุคนั้น ผ่านกลิ่นไอสงครามออกมาได้อย่างมหัศจรรย์ อลังการเป็นเลิศปรากฏเป็นศิลปแบบอยุธยาบริสุทธิ์มาจนตราบเท่าทุกวันนี้…และนั่นก็คือ พระปรุหนัง ยอดพระเครื่องเมืองอยุธยาที่เลิศด้วยวิจิตรศิลปและมหัศจรรย์ยิ่ง

กรุกำเนิด พระปรุหนัง อยุธยา

พระปรุหนัง เป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นด้วยเนื้อชินปนตะกั่ว หรือจะเรียกว่า ชินสังฆวานร ก็ไม่ผิด เพราะกรรมวิธีการสร้างเนื้อประเภทนี้ต้องเป็นไปตามแบบฉบับเดิมเขา โลหะดังกล่าวจึงมีความอ่อนตัวและเหนียวโดยไม่หักง่าย พระเครื่องพิมพ์นี้ได้นิยมสร้างกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยายุคต้นทีเดียว วัดสำคัญที่อยุธยาหลายแห่งมักจะมีผู้พบพระพิมพ์นี้อยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อประมาณ พ.ศ. 2450 ก็ได้มีผู้พบพระปรุหนังที่ วัดพุทไธสวรรค์ ได้พระไม่เกิน 50 องค์ที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ก็มีคนร้ายลอบเข้าไปเจาะเจดีย์ ได้พระปรุหนังออกมาเช่นกันแต่ไม่ถึง 30 องค์ และระหว่าง พ.ศ. 2495 ก็ได้พบพระปรุหนังอีกครั้งที่ วัดมหาธาตุ ส่วนมากมักเป็นพระชำรุด และในระยะเดียวกันนั้นที่ วัดชนะสงคราม กรุแตก ก็ปรากฏว่าพระปรุหนังได้รวมขึ้นมาจากกรุนี้ด้วย พอถึง พ.ศ. 2500 กรุยิ่งใหญ่ของ วัดราชบูรณะ ก็ได้ถูกคนร้ายลอบเจาะพระปรางค์ ขนพระ, และได้สมบัติโบราณไปส่วนหนึ่งนั้น พระปรุหนัง ก็เฉิดฉายวาววับด้วยผิวปรอทติดมือคนร้ายออกมาด้วยกว่า 20 องค์ และต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง กรมศิลปากรเห็นทีจะไม่เหมาะ ก็เลยเปิดกรุวัดราชบูรณะเป็นทางการเสียเลย ครั้งนั้น พระปรุหนัง ก็ยังมีหลงเหลือออกมาจากกรุมาอีกด้วยหลายสิบองค์เช่นกัน…

และเมื่อ พ.ศ. 2506 ก็ได้ปรากฏว่าพระปรุหนังของ วัดปราสาท กรุวัดนี้ปรากฏว่าคนร้ายได้ลอบเข้าไปขนพระออกมาจนเกลี้ยง พระที่ขึ้นจากกรุวัดปราสาทนี้ ถึงจะได้มากก็จริงอยู่ แต่จะเอาที่สมบูรณ์จริง ๆ แล้วมีไม่มากนัก ถึงกระนั้น พระปรุหนังแต่ละองค์จากกรุนี้ ก็งามเฉิดฉายวาววับไปด้วยทองปิดทับ และศิลปที่เข้มข้นอย่างที่ไม่มีใครเหมือนเลย

ศาสนารุดหน้ากว่าการสงคราม

ทั้งหมดที่กล่าวไปแล้วนั้น เป็นเพียงเท่าที่ผู้เขียนพอจะจำได้ แล้วยังมีอีกมากท่านได้บอกว่า พระปรุหนัง ยังมีออกจากกรุอีกหลายวัด ผมไม่รู้เพราะคนขุดแกไม่ยอมสนทนาด้วย เห็นทีคงจะเบื่อคนไถคนจับนั่นเอง สำหรับกรุงศรีฯ เมื่อครั้งยังเป็นราชธานีอยู่ สมัยนั้น เปรียบได้ดั่งเมืองพระ จะมองไปทิศไหนก็มีแต่วัดร่มรื่นไปหมด ด้วยเหตุนี้กระมัง สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้กล่าวไว้ใน นิราศทวารวดี ตอนหนึ่งว่า…

พิไรพลางทางมุ่งดูกรุงเก่า
ให้แสนเศร้าโศกในฤทัยสลด
ดูภูมิฐานบ้านเมืองรุ่งเรืองยศ
ควรหรือลดลงเป็นป่าน่าเสียดาย
ดูวัดวาอารามงามสล้าง
บ้านรกร้างโรยราน่าใจหาย
เมื่อครั้งกรุงยังสนุกสุขสบาย
ได้ยินฝ่ายผู้เฒ่าท่านเล่ามา
ว่าเศรษฐีมีทรัพย์ไม่นับได้
สร้างวัดให้ลูกรักนั้นหนักหนา
ถ้าบุตรใครไม่มีซึ่งวัดวา
ไปเล่นอารามเขาเศร้าฤทัย
เจ้าของเขาเฝ้าเปรยเยาะเย้ยหยอก
กลับมาบอกบิดาน้ำตาไหล
พ่อก็สร้างอารามให้ตามใจ
วัดจึงได้เกลื่อนกลาดดูดาษดา…

อ่านแล้วกลับมาคิดถึงสมัยนี้แล้วใจหู่ หันมาดูวัดวาอารามในกรุงเทพฯ ถึงจะหนาแน่นก็เต็มไปด้วยคูหาประชาชนเบียดวัด เศรษฐีน้อยคนนักที่จะศรัทธาถึงขนาดสร้างวัดแข่งกัน เพราะแม้แต่เพียงการบูรณะวัดก็ถึงกับเรี่ยไรแล้วเรี่ยไรอีก การทำบุญแต่ละครั้งต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน โบสถ์บางวัดยืดโครงร่างอยู่ถึง 10 ปี ก็ยังไม่ยอมเสร็จ ทั้ง ๆ ที่ได้สร้างของขลัง สร้างแล้วสร้างอีกจนนับรุ่นไม่ถูกโบสถ์ก็ไม่ยอมเสร็จอยู่นั่นแหละ เราไม่รู้ชัดว่าใคร, ที่ไหน, หรือมีแผนไว้อย่างไร เรารู้เพียงแต่ว่าชั่วแว่บหนึ่งของมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส เขาอาจทำอะไร ๆ ได้ แม้แต่การเอาศาสนาเข้าบังหน้าเป็นเครื่องมือหากิน

กวีเอกสุนทรภู่ท่านได้ฟังจากผู้ใหญ่มาอีกที ดังนิราศซึ่งผ่านสายตาท่านไปแล้วนั้นย่อมเป็นประจักษ์พยานเรื่องความศรัทธาของชาวไทยในสมัยนั้นเป็นอย่างดี จริงอยู่ที่ว่าการรณรงค์สงครามในยุคนั้นรุดหน้ารบกันจนเป็นเรื่องจำเจสำหรับชาวกรุงเก่า แต่ถ้ามองมาทางด้านธรรมะธรรมโมแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าการพระศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยากลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และเหนือกว่าการสงครามเสียอีก

เรื่องของปรุหนังของขลังซึ่งกำเนิดในยุคที่การสงครามคุกรุ่นนั้นก็เช่นกัน ชี้ขาดไม่ได้ว่านอกจากวัดดังกล่าวที่พบพระปรุหนัง และมีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองแล้ว ก็ยังมีหลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงให้รู้อีกว่า วัดต่าง ๆ ที่พบพระปรุหนังนั้น ต่างก็ได้ถูกสถาปนาและบูรณะขึ้นโดยพระมหากษัตริย์แต่รัชกาลเกือบทั้งสิ้นด้วย

ศิลปะ และที่มาของ ชื่อพระ

โดยทั่วไปสำหรับ พระปรุหนัง ซึ่งพบที่เมืองอยุธยานั้น พระส่วนมากจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีขนาดประมาณ 4 คูณ 5 ซม. และเนื้อที่สร้างเป็นองค์พระนั้นนอกจากจะเป็นชนิดเนื้อ ชินสังฆวานร ดังได้กล่าวไปแล้ว ยังพบว่าที่ทำเป็นชินเงินผิวปรอทขาวก็มี และยังเป็นที่ยืนยันได้อีกว่า พระปรุหนัง ชนิดที่สร้างเป็นเนื้อดินนั้นมีแน่ ๆ แต่เนื้อสัมฤทธิ์หรือชนิดอื่น ๆ ยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครเห็นได้เลย นอกเสียจากที่ทำเป็น ผงสีขาว ซึ่งเกจิอาจารย์ได้สร้างลงกรุไว้ที่ วัดโมลี เมือง อยุธยา และที่วัดกรุงเทพก็มีสร้างไว้ภายหลังด้วย

พุทธลักษณะของพระปรุหนัง สร้างเป็นภาพพุทธองค์ประทับนั่งขัดราบปางมารวิชัย บนฐานสำเภาบัว 2 ชั้นอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้ว และที่ช่วงบนถัดจากซุ้มเรือนแก้วทั้งสองข้างนั้น ก็จะปรากฏลวดลายช่อชัยพฤกษ์หลายเส้นวิ่งม้วนตัวไปบรรจบกันที่จุดยอดเหนือพระเศียร และเปลวเส้นดังกล่าวนี้เอง เราจะเห็นตรงระดับกลางระหว่างริมข้างขององค์พระนั้นเอง จะมีเส้นวิ่งลงมาม้วนตัวเป็นรูปประภามณฑลครอบพระเศียรองค์ พระโมคคัลลาน์ กับ พระสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวกกำลังยืนพนมมืออยู่ที่ด้านซ้ายและขวาอยู่ในพระพิมพ์นี้ด้วยอย่างเด่นชัด

พระปรุหนัง เป็นพระเครื่องศิลปแบบอยุธยายุคต้น ศิลปินแห่งกรุงอโยธยาให้จินตนาการภาพอันวิจิตรตระการตาไว้ด้วยลักษณะของพิมพ์เป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งผิดแผกไปจากพระเครื่องทั้งหมดของเมืองนี้ และจากการแสดงออกในชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์ จากปางมารวิชัย ที่ช่างให้แบบไว้อย่างบรรเจิดจ้าร่วมด้วยพระอัครสาวก กับการฉลุปรุโปร่งของพิมพ์โดยเน้นให้เห็นองค์พระและลวดลายที่วิ่งประสานกันอย่างกลมกลืนเป็นแบบลอยองค์ไว้อย่างอลังการนั้นเอง พระปรุหนัง จึงเลิศด้วยศิลปอันวิจิตรและอยู่ในอันดับชั้นนำของพระเครื่องเนื้อชินแห่งกรุงอโยธยาทั้งหมดด้วย

สำหรับอันเป็นที่มาของชื่อพระเครื่องแต่ละองค์นั้น บางครั้งช่างก็อาศัยแอบอิงจากปรากฏการณ์ประจำวันต่าง ๆ มาสร้างเป็นจินตนาการ เพื่อให้เกิด พิมพ์ แปลกขึ้นมาเหมือนกัน อย่างเช่น พระลีลา ที่เราเห็นอยู่ทั่ว ๆ ไปนี้ ต่างก็ เข้าใจกันว่า ช่างได้อาศัยการลีลาเริงร่ายจากระบำรำฟ้องมาเป็นหลักก่อนเหมือนกัน สำหรับ พระปรุหนัง ก็เช่นกัน มีเรื่องเล่าไว้ว่า กรุงอโยธยาสมัยโน้น หนังตะลุง ก็เป็นมหรสพประเภทหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชามาก ศิลปินยุคนั้นคงจะเกิดจินตนาการจากภาพฉลุปรุโปร่งของหนังตะลุงนี่เอง พระเครื่องพิมพ์หนึ่งในลักษณะค่อนข้างสี่เหลี่ยม จึงกำเนิดฝ่ากลิ่นไอสงครามออกมาในแบบฉลุปรุโปร่งแลดูคล้ายแบบของหนังตะลุง ซึ่งงดงามอย่างหาที่ช่างยุคนี้ติไม่ได้เลย นามมงคลของพระเครื่องฉลุปรุโปร่งดังกล่าวนี้จึงชื่อว่า พระปรุหนัง ตั้งแต่นั้นมา…

ความสำคัญของพระปรุหนังอยู่ที่ “บัว”

พระปรุหนังของเมืองอยุธยานี้ ถึงจะมีพิมพ์ที่คล้ายกันก็ตาม แต่ถ้าท่านเป็น นักเลงพระ โดยแท้จริงแล้ว ก็จะต้องรู้วาบัวที่ฐานประทับซึ่งปรากฏอยู่เป็นรูปคล้ายสำเภานั้น จะมีเส้นขีดทแยงบน และอีกแถวหนึ่งขีดทแยงล่างนั้น เราเรียกกันว่า บัว 2 ชั้น จากเส้นขีดที่เรียกบัวนี้เองนับว่ามีความสำคัญต่อการที่ท่านจะเป็นนักสะสมพระยิ่งนัก เพราะถ้าไม่รู้เรื่องบัวนี้แล้ว ถึงแม้ท่านจะเช่าพระปรุหนังโดยไม่โดนปลอมเลยก็ตาม ท่านก็อาจเช่าพระ ผิดราคา เพราะ ผิดบัว ไปก็มี และสำหรับบัวฐานสำเภาที่ท่านเห็นเป็นขีด ๆ นั้นก็จะไม่เหมือนกันเลย ขอให้ท่านโปรดได้พิจารณาให้ละเอียดแล้ว ก็จะพบว่าบัวนั้นยังแยกออกเป็น 2 แบบ ดังนี้…

1. พระปรุหนัง พิมพ์บัวดำ นับเป็นพิมพ์เอกที่ได้รับความนิยมกันมากที่สุด เป็นพระที่หายากและมีราคาแพงกว่าแบบบัวชนิดอื่น เหตุที่เรียกว่า บัวเบ็ด นั้น ท่านจะพิจารณาได้จากปลายขีดของเส้นบัวจะเป็นรูปงอโค้งลงมาคล้ายกับเบ็ดตกปลา เรียงรายเป็นแถวทั้งล่างและบน ศิลปจากบัวแบบนี้ประมวลรวมเข้าพิมพ์แล้ว เราจะเห็นเด่นชัดว่าเป็นพระเครื่องอยุธยายุคต้นโดยแท้

2. พระปรุหนัง พิมพ์บัวก้างปลา พระพิมพ์นี้มองเห็นได้ชัด ๆ ว่า เส้นขีดของบัวจะมีช่วงห่างกว่า บัวเบ็ด ปลายเส้นก็จะตรงขึ้นไปโดยไม่ม้วนตัวทั้งล่างและบน เขาเรียกว่า บัวก้างปลา เพราะคล้ายกับก้างปลานั่นเอง

และนอกจากพระปรุหนังทั้งสองพิมพ์นี้แล้ว ที่กรุวัดราชบูรณะยังเคยพบพระปรุหนัง พิมพ์ลีลา อีกด้วย องค์ค่อนข้างใหญ่ ฉลุปรุโปร่งไว้งดงามมาก แต่ก็มีขึ้นจากกรุไม่เกิน 10 องค์เท่านั้น จากนั้นยังมีพระปรุหนังที่มีแบบอันพิสดารออกไปอีกหลายพิมพ์ดังจะกล่าวต่อไป

อย่างไรก็ตามปัจจุบันปรากฏว่าพระปรุหนังดังกล่าวไปแล้ว ออกจะเป็นของวิเศษที่ระยะนี้ค่อนข้างจะหาชมหรือเช่าได้ยากเอาการอยู่ ผู้เขียนหมายถึง ของแท้ที่ได้จากกรุ แต่ถ้าเป็นของเก๊ที่ มือผี เขาผลิตกันออกมาแล้ว จะมีปรากฏอยู่มากมายจนนับรุ่นเก๊ไม่ถูกเอาทีเดียวถ้าท่านสนใจกับพระปรุหนังยอดพระเครื่องชื่อดังของเมืองอยุธยานี้แล้ว ก็ขอได้โปรดติดตามเรื่องต่อไปเถอะครับ แล้วท่านจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรกันต่อไป

พระปรุหนัง แบบขนมต้ม

ผ่านไปแล้วสำหรับพระปรุหนัง พิมพ์บัวเบ็ด กับ บัวก้างปลา ทีนี้ก็มาถึง พิมพ์บัวกลีบ กันบ้าง พระพิมพ์นี้มีขึ้นจากกรุ วัดปราสาท เพียงแห่งเดียวเท่านั้น…

วัดปราสาทนี้อยู่ที่อำเภอเมืองใจกลางจังหวัด เมื่อประมาณ พ.ศ. 2504 ได้ถูกคนร้ายลอบเข้าไปเปิดกรุ และได้พบพระเครื่องพิมพ์ปรุหนังถึง 4 แบบด้วยกัน และ จากหนึ่งในสี่พิมพ์ของพระปรุหนังนั้นเอง นับว่าได้มีพระปรุหนังที่ผิดแผกไปกว่าของกรุอื่น ๆ ทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงพระแต่ละพิมพ์ของกรุวัดปราสาทไว้พอเป้นที่รู้ แต่ก็จะขอเน้นเฉพาะ พิมพ์ขนมต้ม ซึ่งเป็นพิมพ์ที่แปลกไว้ละเอียดหน่อย ดังนี้

1. พระปรุหนังพิมพ์ บัวกลีบ หรือจะเรียกกันโดยทางศิลปจากภาพพุทธองค์ที่ไม่เหมือนกับกรุอื่น ก็คือ เป็นศิลป แบบขนมต้ม ซึ่งที่จริงแล้วคำว่า แบบขนมต้ม นี้ก็คือ ชื่อที่นักเลงพระเขานิยมเรียกพระพุทธรูปแบบหนึ่ง ซึ่งกำเนิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั่นเอง ผู้ให้กำเนิดศิลปแบบนี้เข้าใจว่าคงเป็นศิลปินในสกุลช่างไชยาชั้นหลัง ซึ่งเป็นผู้ให้จินตนาการแบบขึ้นไว้นั่นเอง นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามเลิศอีกแบบหนึ่งที่กำเนิดในสมัยอยุธยายุคต้น ซึ่งเป็นของที่หาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบันนี้ ผู้เขียนได้เห็นพระพุทธรูปที่งามเลิศแบบนี้แล้ว เข้าใจว่าช่างไชยาชั้นหลังคงได้ประยุกต์เอาศิลปแบบ เชียงแสน มารวมเข้าไว้กับ ศิลปะ อู่ทอง มากกว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็นับเป็นการผสมผสานของศิลป 3 สมัยรวมไว้อย่างเหมาะเจาะทีเดียว

ศิลปะ แบบขนมต้ม ผู้เขียนนำมากล่าวไว้นี้ ก็เพื่อโยงเข้าหาพระปรุหนังของวัดปราสาท ซึ่งพระกรุนี้ก็ได้มีสร้างองค์พระเป็นแบบขนมต้มของนครศรีธรรมราชไว้ด้วยเช่นกัน พระพิมพ์นี้ถ้าดูจากพระพุทธรูปก็จะเห็นพุทธลักษณะของท่านอวบอัดล่ำสัน สังฆาฏิสั้นและทำชายซ้อนกันถึง 3 แฉกอยู่ข้าง ๆ พระอุระ ฐานจะปรากฏเป็นแบบขาโต๊ะ ประดับลวดลายก็มี, ทำเป็นฐานสำเภาซ้อนสูงก็มี, การประทับนั่งมักสร้างเป็นปางมารวิชัย แบบขัดเพชร และมีชายผ้าทิพย์ห้อยอยู่ระหว่างกลางฐานนี้ทุกองค์ ที่ทำเป็นแบบสมาธิก็มี ส่วนเกศมักเป็นแบบ เกศตุ้ม ซึ่งถ้ามองเผิน ๆ แล้ว พระศิลปแบบนี้จะคล้ายกับเชียงแสน

คราวนี้มาถึงเรื่องชื่อที่เรียกว่า ขนมต้ม นักมวยผู้เลืองชื่อเมื่อสมัยอยุธยาซึ่งมีร่างกายกำยำล่ำสันมากกว่า หรือถ้าจะหมายถึง ขนมต้มแดง ต้มขาว ที่เป็นก้อนกลม ๆ นั้นก็ตอบยากอยู่และก็คงจะไม่ใช่แน่ เอาเป็นว่าพระพิมพ์นี้พุทธลักษณะท่านล่ำสันบึกบึนมากอยู่ พอชาวบ้านสมัยโน้นเห็นพุทธลักษณะท่านเข้าก็เลยเรียกท่านว่าพระ ขนมต้ม ตั้งแต่นั้นมา โดยจะหาชมก็ยาก หรือจะหาเช่าก็แพงเช่นกัน

พระปรุหนัง ของ วัดปราสาท พิมพ์ขนมต้มที่ว่านี้ พุทธลักษณะต่าง ๆ และขนาดจะเหมือนเช่นพระปรุหนังพิมพ์บัวเบ็ดและบัวก้างปลา แต่องค์ประกอบเช่น เปลวช่อชัยพฤกษ์ได้เปลี่ยนเป็นใบโพธิ์ ฐานประทับเป็นทรงสำเภามีขา 3 ขาแบบขาโต๊ะ อันเต็มไปด้วยลวดลาย และบัวที่ฐานประทับพระพิมพ์นี้ กลับเป็นบัวกลีบสี่เหลี่ยมคล้ายกับบัวพระซุ้มกอทุ่งเศรษฐีไม่ผิด ส่วนพระโมคคัลลาน์ กับพระสารีบุตร พระอัครสาวกที่ประทับยืนอยู่ด้านซ้ายขวานั้น องค์พระจะเล็กกว่าทุก ๆ พิมพ์จากกรุอื่น ๆ

2. พระปรุหนัง บัวก้างปลา พิมพ์ต้อ นี่ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งของวัดปราสาท ถึงแม้บัวจะเกิดไปตรงกับของกรุอื่น ๆ ก็ตาม แต่เปลวช่อชัยพฤกษ์ของปรุหนังสือพิมพ์นี้กลับเป็นโพธิ์เช่นเดียวกับพิมพ์ขนมต้มและองค์พระจะดูอ้วนโตต้อกว่าทุกพิมพ์ ทั้งองค์พระโมคคัลลาน์ และพระสารีบุตรจะดูต้อเตี้ยไปด้วยเช่นกัน ส่วนขนาดและอื่น ๆ คงเหมือนกัน แต่ก็หย่อนในฝีมือการสร้างลงไปอย่างเห็นถนัดตา ความนิยมสำหรับพิมพ์นี้จึงขาดผู้สนไป

3. พระปรุหนัง บัวก้างปลา พิมพ์ชลูด พระพิมพ์นี้เกือบทุกอย่างจะคล้ายกับ พิมพ์ต้อ เป็นที่สุด แต่องค์พระจะดูชลูดผอมกว่า พระพิมพ์ชลูดนี้จะมีสร้างไว้ทั้งแบบต้นไม่ปรุโปร่งและโปร่งตลอดก็มี

4. พระปรุหนัง เดี่ยว นี่ก็เป็นอีกพิมพ์หนึ่งของวัดปราสาท โดยองค์พระจะเล็กกว่าทุก ๆ แบบที่ได้กล่าวไปแล้วทั้งหมด พระพิมพ์นี้จะสร้างเป็นแบบ บัวก้างปลา ที่มีเส้นขีดในฐานสำเภาห่างมาก แต่พิมพ์ก็จะฉลุโปร่งเช่นกัน ขนาดวัดได้สูงเพียง 4 ซม. เท่านั้น พุทธลักษณะทำเป็นพระปางมารวิชัยประทับนั่งบนฐานสำเภาแบบบัวก้างปลา มีซุ้มเรือนแก้วประกอบโดยไม่มีเปลวช่อชัยพฤกษ์ใด ๆ ประกอบไว้เลย พระพิมพ์นี้นับว่าองค์เล็กกะทัดรัดแล้วยังมีทองปิดมาแต่ในกรุเกือบทุกองค์ด้วย

ทั้ง 4 แบบของ พระปรุหนังวัดปราสาท ดังกล่าวไปแล้วนี้ เป็นพระเครื่องเนื้อชินเงินที่ได้กำเนิดเมื่อสมัยอยุธยายุคกลาง และถึงจะมีการนำเอาศิลปของเมืองอี่นมาประยุกต์เข้าไว้ก็ตาม แต่ช่างผู้ให้กำเนิดพระกรุนี้ ก็ได้บอกให้รู้ว่าเขาคือ ศิลปินของชาวอยุธยานั่นเอง

เนื้อ, สนิม, และการเทพิมพ์พระ

เรื่องราวพระปรุหนังอยุธยาแต่ละองค์ที่ขึ้นจะกรุนานมาแล้วนั้น พระส่วนมากมักจะสร้างด้วยชิน สังฆวานร ซึ่งชินประเภทนี้มักมีการอ่อนตัวได้ง่าย ไม่หักเปราะผิวสนิมสำหรับพระเนื้อนี้มักจะออกสีดำอมเทา และบางองค์ก็จะมีไขขาวเกาะเป็นหย่อม ๆ อยู่ตามซอกด้วย ส่วนประเภทที่ทำเป็นเนื้อชินเงินนั้น สนิมจะดำเป็นตีนกา ที่เป็นสนิมประเภทเกล็ดกระดี่ก็มี สนิมประเภทหลังนี้พระปรุหนังส่วนมากมักจะผุกร่อนร่อนเป็นชั้นเป็นขลุกเกล็ดยากต่อการรักษา

เรื่องสนิมที่เกิดจากพระปรุหนังยังมีอีกประเภทหนึ่ง แต่ชินขององค์พระเนื้อนี้จะไม่มีความเหนียวแน่นเหมือนกับแบบพระกรุเก่าที่พบในระยะต้น ๆ นั่นก็คือ ชินที่มีผิวปรอทขาวหุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง เช่น พระปรุหนังที่พบจากกรุวัดราชบูรณะ เมื่อปี พ.ศ. 2500 พระกรุนี้ประมาณ 80 % จะมีปรอทฉาบขาววาววับ ที่ถูกสนิมกินก็เพียงผื่นคำเป็นหย่อม ๆ บางตอนเท่านั้น แต่จากความเปราะกรอบของเนื้อนั่นเอง พระส่วนหนึ่งจึงต้องชำรุดหักไปก็มาก เมื่อตอนออกจากกรุ

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ผู้เขียนได้เห็นพระปรุหนังมาแล้วเป็นจำนวนมาก จะหาที่สมบูรณ์จริง ๆ นั้นออกจะยากอยู่ บางองค์ดูเข้าทีไม่มีชำรุด แต่พอเอาแว่นตรวจดูมักจะพบรอยร้าวแถวคอพระทั้ง 3 องค์เลยก็มี และส่วนมากทีเดียวที่เราจะพบกับพระอัครสาวก องค์ใดองค์หนึ่งอาจถึงกับพระเศียรหักหายไปก็มี จึงเป็นเรื่องโชคดีสักหน่อยสำหรับท่านผู้มีพระปรุหนังของจังหวัดอยุธยาที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และเรียบร้อยไว้ในครอบครอง

ขึ้นชื่อว่า พระปรุหนัง แล้ว ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจว่าพระทุก ๆ องค์จะต้องเป็นแบบปรุโปร่งเสมอไปก็หาไม่ แม้แต่สมัยนี้ก็ยังหาปริมาณการเทโลหะลงเข้าแม่พิมพ์ได้ไม่แน่นอน ยิ่งกว่านั้นตอนทำแบบตัวอย่างตรวจดู ก็ว่าดีแล้ว แต่เวลาทำจริง ๆ พระบางองค์หูขาด จมูกกลับบี้แบนไปหรือไม่ก็พระเศียรเล็กไปก็มี

หรือบางครั้งที่มีซุ้มประกอบเห็นฉลุโปร่งงดงามดีอยู่ แต่พอเทแบบจริง ๆ ก็กลับกลายเป็นแผ่นทึบโดยไม่โปร่งก็มีมาก ช่างสมัยนี้ก็เถอะพอเข้าบทเบี้ยวแล้วเป็นน่าดูเชียวละ, ก็อย่างบางวัดสร้างพระบูชายังโดนอม แม้กระทั่งทองคำเลย… “เฮ้อ, ให้ผสมทองลงไปแล้วหนักตั้ง 20 บาท แต่ไหงดู ๆ เนื้อแล้วก็ยังเป็นทองเหลืองอยู่นั่นแหละ” (ความจริงช่างเบี้ยวทองคำไปเบาะ ๆ เพียง 10 บาทเท่านั้น) เรื่องทำนองนี้ผู้จ้างบางรายก็โวยวายไม่ออกเหมือนกัน เพราะถ้าขืนโวยไปเดี๋ยวไต๋แตก เพราะใบปลิวของวัดบอกว่าสร้างพระเครื่อง 500 องค์ แต่พอทำเข้าจริง ๆ ไหงกลายเป็น 1000 องค์ไปได้ มันก็เรื่องไก่เห็นตีนงูและข้างงูก็เห็นนมไก่นั่นแหละครับ เอาอะไรกับกิเลสของมนุษย์เรา ก็อย่างนี้แหละ แล้วจะไม่ให้ช่างแห่งกรุงรัตนโกสินทร์แกเบี้ยวได้อย่างไรกัน

ผมว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้วเชียว, ว่ากันไว้แค่นี้ก่อนแล้วขอย้อนกลับมาเรื่องพระปรุหนังกันต่อไปดีกว่า แต่ที่พูดไปนั้นมีส่วนประกอบเข้าหากันเสียด้วย เพราะการเทพิมพ์พระปรุหนังสมัยโน้นจะมาตรามาตวงวัดเนื้อกันได้ไม่ พระบางองค์จึงถูเทเนื้อจนล้นพิมพ์ บางองค์ก็เทได้ระดับพอดีกับพิมพ์ แต่บางองค์ขณะถูกเทพิมพ์เอียงไปก็มี จากสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้แหละ พระปรุหนังมากกรุที่พบตามกรุในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงต้องมีความผิดแผกแตกต่างไปจนเป็นผลปรากฏออกมา ดังนี้

· พระปรุหนังชนิดที่ปรากฏพิมพ์ออกมาอย่างอลังการสมบูรณ์ แลดูปรุโปร่งตลอดองค์นั้นจะมีถึง 90%
· พระที่เทพิมพ์ออกมาแล้ว กลับเป็นพระประเภท ตันครึ่งองค์ โปร่งครึ่งองค์ จะมีเพียง 5% เท่านั้น
· ชนิดที่ปรากฏพิมพ์ออกเป็นแบบ ทึบตันทั้งองค์ โดยไม่ปรุโปร่งเลย พระปรุหนังประเภทนี้จะมีถึง 5% หรือที่เรียกว่าหลังตัน การที่พระปรุหนังอยุธยาต้องเป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุที่ผมกล่าวไปแล้วนั่นเอง

พุทธคุณ

ว่าด้วยพระพุทธคุณทางด้านคงกระพันชาตรีกันแล้ว พุทธคุณเช่นนี้พระปรุหนังท่านแน่และมีชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว ระยะที่ผู้เขียนยังเป็นเด็ก ก็ยังได้เห็น เจ๊กหง่า ขี้เมาเป็นชาวจีนเมืองแปดริ้วอยู่ที่ตลาดบางขนาก ชอบห้อยพระปรุหนังแล้วเอามีดกรีดแขนเล่น แกโชว์ความเหนียวแลกเหล้าโรงตามร้านกินอยู่เสมอ บางวันก็ให้คนเอาตาปูตอกหนังด้วยค้อน ตาปูกระดอนหนังแขนไม่ทะลุ แกแสดงให้คนดูอยู่เสมอจนได้ชื่อว่า ตาหง่าหนังช้าง ที่หนังเหนียวขนาดนั้นได้ก็เพราพระปรุหนังองค์เดียว ที่แกม้วนจนเป็นตะกรุดแล้วร้อยเชือกห้อยอยูที่คอตลอดเวลาเท่านั้น…เดี๋ยวนี้ ตาหง่า ตายแล้ว แต่ที่แปดริ้วคนเก่า ๆ ยังจำเรื่องนี้ได้ดีทีเดียว

นอกจากนั้น พระปรุหนังยังให้ประสบการณ์เกิดขึ้นกับผู้ใช้ไว้อีกมากท่าน ซึ่งแต่ละท่านก็มักกล่าวกันว่า พิมพ์บัวเบ็ด ท่านเด็ดจริง ๆ เพราะบางครั้งปืนยังยิงไม่ออกก็มี สรุปด้านพุทธคุณพระปรุหนังอยุธยานี้แล้ว ท่านมีดีทั้งทางแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี และยังดีทางด้านมหาอุตม์ที่หยุดปืนได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ

โดยอาจารย์ ประชุม กาญจนวัฒน์