ข่าวดี! ครม.แจกสะบัด “5 โครงการ” – จ้างเด็กจบใหม่วงเงิน 19,462 ล้านบาท

ข่าวเศรษฐกิจ

(23 ก.ย. 2563) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติการใช้เงินกู้ 2 โครงการ ได้แก่

1.โครงการ “คนละครึ่ง” แจกเงิน 3,000 บาทให้ประชาชนทั่วไป

2.โครงการเพิ่มวงเงินซื้อของกินของใช้ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละ 500 บาทเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อหมุนเวียนในระบบให้เกิดการบริโภค โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าขายปลีก สิ่งที่ได้เน้นย้ำคือให้ประชาชนเข้าถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล หรืออีวอลเล็ตและคิวอาร์โค้ด ซึ่งทุกร้านจะต้องมีคิวอาร์โค้ดเพื่อรัฐบาลจะจ่ายเงินลงไปโดยไม่ต้องผ่านใคร โดย 2 โครงการนี้ที่ ครม.อนุมัติจะเป็นการกระตุ้นค่าใช้จ่าย เพิ่มกำลังซื้อ ลดค่าครองชีพ เมื่อมีคนจับจ่ายใช้สอยพ่อค้าแม่ค้าในตลาดก็จะมีเงินไปต่อยอดซื้อขายต่อไปเรื่อยๆ ตรงนี้ไม่ได้เป็นการสนับสนุนผู้ที่มีรายได้สูงแต่ประการใด

สำหรับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย 13.94 ล้านคน ส่วนโครงการคนละครึ่งที่จะใช้วิธีร่วมจ่าย 50% ไม่เกิน 100 บาทต่อคนต่อวัน หรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน จะนำเสนอให้ ครม.อนุมัติในสัปดาห์หน้า โดยการประชุม ครม.ครั้งนี้เป็นการเห็นชอบในหลักการ ซึ่งกระทรวงการคลังและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะไปจัดทำรายละเอียด เข้าใจว่า เพื่อให้มาตรการที่ออกมาเกิดความรัดกุม และให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงโครงการนี้มากที่สุดและทำให้เกิดความสะดวกสบายและง่ายในการเข้าถึงโครงการนี้จึงต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังช่วยอีก

3.โครงการ โดยเห็นชอบให้ความช่วยเกษตรกรทดแทนผู้เสียชีวิตที่มีสิทธิโครงการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด เป็นเงิน 15,000 บาท จำนวน 5,278 ราย โดยขยายเวลาการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มนี้ ภายในวันที่ 30 ก.ย.63 ส่วนกรณีที่เกษตรกรผู้มีสิทธิภายใต้โครงการเสียชีวิตจริงก่อนระยะเวลาโครงการ ต้องยืนยันว่าได้มีการตรวจสอบแล้วว่าเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนทดแทนเป็นเกษตรกรที่มีคุณสมบัติตามที่โครงการกำหนด จึงจะสามารถจ่ายเงินเยียวยาตามสิทธิของเกษตรกรผู้เสียชีวิตให้กับเกษตรกรผู้รับช่วง ซึ่งจำนวนที่มีอยู่ 13,283 รายนั้น เห็นควรให้กระทรวงเกษตรฯพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการให้ความช่วยเหลือ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.ยังเห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาออกไป 1 ปี จากที่สิ้นสุดเดือน ก.ย.นี้ เริ่มตั้งแต่เดือน ต.ค.63-ก.ย.64 แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 13.9 ล้านคน คิดเป็นครัวเรือนประมาณ 8 ล้านครัวเรือน ซึ่ง 1 ครัวเรือน สามารถใช้ได้เพียง 1 สิทธิ จัดเป็นมาตรการที่

4.สำหรับมาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาที่เคยอนุมัติไปแล้ว ประกอบด้วย
1.ค่าไฟฟ้า กรณีใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือนติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรี แต่กรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้สิทธิตามมาตรการนี้ ในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน หากใช้เกินวงเงิน ผู้ถือบัตรต้องเป็นผู้จ่ายค่าไฟฟ้าทั้งหมด
2.ค่าน้ำประปา ให้ใช้ในวงเงิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน หากใช้เกิน ผู้ถือบัตรต้องเป็นผู้จ่ายค่าน้ำประปาทั้งหมด

ส่วนมาตรการที่ 5.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ครม.เห็นชอบ

5. โครงการส่งเสริมการจ้างงานสําหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐ และเอกชน ของกรมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กรอบวงเงินไม่เกิน 19,462 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือการจ้างงานให้ผู้จบการศึกษาใหม่ได้มีงานทำมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน รวมทั้งยังเป็นการช่วยเหลือสถานประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง มีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชน และผู้จบการศึกษาใหม่ 260,000 คน ซึ่งรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานจะจ่ายเงินอุดหนุนเงินเดือนให้ 50% ให้ผู้จบการศึกษาใหม่ตามอัตราเงินเดือนแยกตามวุฒิไม่เกิน 7,500 บาท/เดือน/คนในระยะเวลา 12 เดือน ตั้งแต่ 1 ต.ค.63-30 ก.ย.64 โดยมีเงื่อนไขว่านายจ้างอยู่ในระบบประกันสังคมและไม่เลิกจ้างลูกจ้างเดิมเกิน 15% ใน 1 ปี

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะได้รับทั้งผู้จบการศึกษาใหม่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจ้างงาน ลดปัญหาการว่างงาน นายจ้าง หรือสถานประกอบการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ รัฐบาลก็จะได้รายได้กลับมาจากการเก็บภาษีด้วย ขณะเดียวกัน ระหว่างวันที่ 26-28 ก.ย.นี้ ได้จัดงาน “จ๊อบ เอ็กซ์โป” หรือมหกรรมจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ “ไทยมีงานทำ” ที่ไบเทค บางนา มีตำแหน่งงานว่างไม่น้อยกว่า 1 ล้านตำแหน่ง.