ญาติคาใจ สาวท้อง 9 เดือนนอนรอคลอด หมออ้างไม่ว่างสุดท้ายเด็กเสียชีวิต

ข่าวด่วนเกาะกระแส

นางสาวจิราภร อายุ 24 ปี ซึ่งตั้งท้องนาน 9 เดือน มีกำหนดคลอด 17 กุมภาพันธ์ 2565 นางสาวจิราภร ไปอัลตร้าซาวด์ พบว่าตนเองได้ลูกผู้ชาย ญาติๆซื้อเสื้อผ้า-ของใช้ รอไว้รับหลาน แต่กลับมีเรื่องคาดคิดเมื่องานฉลองต้อนรับ ต้องกลายเป็นงานศพแทน ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าวเพื่อพบกับทางญาติ เมื่อไปถึงพบว่า บ้านหลังดังกล่าวเพิ่งทำการก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่วนตัวนางสาวจิราภร นั้นยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนลูกชายที่หมอทำการผ่าตัดออกมา มีน้ำหนัก 3.3 กิโลกรัม ตอนนี้ญาติเองก็ฝากเอาไว้ที่ห้องดับจิต

จากการสอบถามทางญาติๆ ทราบว่า นางสาวจิราภร มีอาการน้ำเดินเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 มดลูกเปิด 1 เซนติเมตร จึงโทรไปหาคลินิกที่ฝากท้องพิเศษ เอาไว้ที่อำเภอบึงสามพัน ทางหมอประจำคลินิก แนะนำให้รีบไปที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นที่ทำงานของหมอเพื่อไปทำคลอด เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล จะประสานมาทางหมอของคลินิกเอง นางสาวจิราภร พร้อมด้วยญาติ จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพื่อจะติดต่อเพื่อทำคลอด โดยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล บอกว่าถ้าคลอดเองแบบธรรมชาติไม่ได้ ก็ต้องทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดจะต้องงดอาหาร กระทั่งเวลา 3  ทุ่มครึ่ง แพทย์จากโรงพยาบาลได้มาแจ้งกับทางญาติว่า จะทำการผ่าตัดให้ในช่วงเช้า แต่ก็อนุญาตให้ทานอาหารได้ แต่เพราะดึกมากแล้ว ร้านค้าทั่วไปปิดหมด สุดท้ายผู้เป็นแม่ก็ต้องอดอาหารไปจนถึงตอนเช้า

และช่วงสาย ของวันที่10 กุมภาพันธ์ 2565 ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล กลับมาบอกกับทางญาติว่า ให้พาคนท้องกลับบ้านได้ เอาไว้ผ่าวันหลัง สาเหตุอาจจะมาจาก เตียงข้างเคียงในห้องรอคลอด ตรวจพบว่าติดโควิด-19 และ นางสาวจิราภร อาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ทางญาติ จึงพานางสาวจิราภรกลับบ้านแบบงง ๆ

แต่ในเวลาบ่าย 3 โมงเย็น ของวันเดียวกัน แม่เด็กบอกกับทางญาติว่า ลูกไม่ดิ้น ก็เลยโทรกลับไปหาหมอที่คลินิก แค่ทำได้เพียงแค่พูดคุยกับทางพนักงานเท่านั้น คำตอบคือหมอไม่ว่าง สุดท้าย 5 โมงเย็น จึงโทรไปหาหมอประจำคลินิก ที่ฝากครรภ์แบบพิเศษอีกรอบ แต่ก็ได้แค่คุยกับเจ้าหน้าที่เหมือนเดิม โดยได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปที่โรงพยาบาลเลย ญาติจึงพากันไปที่โรงพยาบาล เมื่อไปถึงผลอัลตร้าซาวด์ พบเด็กไม่หายใจแล้ว ขณะที่หมอที่ทำการรับฝากครรภ์แบบพิเศษ ก็เพิ่งจะโผล่มาให้เห็นหน้า และมีการนัดแม่ของเด็ก ทำการผ่าตัดเอาศพเด็กออก

วันนี้ญาติติดใจว่า ทำไมทางคลินิก ไม่มีความรับผิดชอบ ติดต่อหมอไม่ได้ แต่หมอที่รับฝากครรภ์แบบพิเศษ กลับยอมมาพบกับทางญาติๆ ก็ตอนที่เด็กเสียชีวิตแล้ว ขณะโรงพยาบาลบอกกับญาติว่า จะช่วยรับผิดชอบ แต่จะเรียกเงินถึงล้านบาทนั้น ทางโรงพยาบาลเองก็ไม่มีเงิน การเจรจาจึงยังไม่เกิดขึ้น แต่ญาติติดใจสาเหตุของการเสียชีวิต และทำไมนัดผ่าตัดแล้วทำไมหมอถึงไม่ยอมผ่าตัดให้และ คลินิกที่รับฝากครรภ์แบบพิเศษ ทำไมถึงไม่รับผิดชอบ ติดต่อยาก ซึ่งทางคลินิกก็บอกกับทางญาติว่าจะรับผิด แต่รับผิดชอบแบบไหนนั้น ทางญาติเองก็ยังไม่รู้เรื่อง

ล่าสุด นางสาวจิราภร ยังคงนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้องพิเศษ โดยมีสามี เป็นผู้ดูแลอยู่เคียงข้าง และแพทย์ก็จะนัดเจรจา กับฝ่ายญาติของเด็ก และจะอนุญาตให้นางสาวจิราภรเดินทางกลับบ้านได้ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์

จากการสอบถาม นายทองแดง อายุ 57 ปี ผู้เป็นตา เล่าว่า จากกรณีหลานเสียชีวิตคาท้อง เรื่องเกิดจากตนเองพาลูกสาวไปหาหมอที่โรงพยาบาล เพราะโทรหาหมอที่คลินิกฝากครรภ์ว่าลูกสาวน้ำคร่ำเดิน ซึ่งหมอที่คลินิก ก็แนะนำให้พาไปที่โรงพยาบาล ถ้ามีกรณียังไง ทางโรงพยาบาลจะแจ้งไปหาหมอที่คลินิกอีกที หมอก็จะมาดูให้ แล้วพอเดินทางไปโรงพยาบาล พาไปตรวจแล้ว ก็ติดขัดมีคนป่วยโควิดในห้อง หลังจากอยู่ร่วมกันเกือบชั่วโมง ก็เลยต้องแยกห้อง เนื่องจากกลัวติดโควิด พอแยกห้องก็มาบอกญาติตอน 4 ทุ่มว่า จะผ่าพรุ่งนี้เช้า ให้งดน้ำ งดอาหารหลังเที่ยงคืน จนถึงเช้า ก็มาหาหมอ พอตอนสายหมอได้แจ้งว่า ไม่ผ่าแล้ว เพราะหมอที่คลินิกแจ้งมาว่า เคสนี้คงไม่ติดเชื้อโควิดหรอก ให้กลับไปพักบ้านได้ ถ้าปวดท้องก็ให้กลับมาใหม่ ถ้าไม่ปวดภายใน 5 วัน ก็ให้เก็บเสื้อผ้ากลับมา เพราะถึงกำหนดคลอดครั้งสุดท้ายแล้ว  แต่พอเดินเรื่องเสร็จ กลับมาถึงบ้าน ช่วงบ่ายลูกสาวบอกว่า เด็กในท้องดิ้นอ่อนแรงลง เลยโทรมาบอกตน จึงรีบกลับมาดู ซึ่งลูกสาวได้โทรไปแจ้งทางคลินิก เขาบอกว่าให้มาที่โรงพยาบาลเลย โดยไม่ได้ให้ไปที่คลินิก

พอไปถึงโรงพยาบาล ทางพยาบาลมาตรวจคลื่นหัวใจ แล้วแจ้งว่าเด็กไม่มีคลื่นหัวใจ จึงนำไปอัลตราซาวด์ ได้ยินเสียงพยาบาล พูดกันว่าเด็กไม่หายใจแล้ว ต้องให้หมอมาดูเอง กระทั่งเห็นหมอวิ่งตาตื่นมา ตอนนั้นก็พากันแปลกใจ พอผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ก็เรียกญาติเข้าไปดูว่า เด็กเสียแล้ว ตนยังแย้งไปว่าจะเสียได้ยังไง ตนก็พามาดีๆ หมอก็ตอบว่า บอกสาเหตุไม่ได้ ต้องผ่าเด็กออกมาก่อน แล้วส่งพิสูจน์ ตนเองก็ข้องใจ เพราะเด็กจะคลอดอยู่แล้ว ถ้าผ่าตอนเช้าเลย หลานตนก็น่าจะรอด เบื้องต้น บอกว่าจะรับผิดชอบให้ แต่ยังไม่รู้จะรับผิดชอบยังไง

ด้าน นางปั่น อายุ 52 ปี ผู้เป็นแม่ เล่าว่า ก่อนเขาคลอด ได้บอกว่า ถ้าลูกคลอดมาจะได้อยู่บ้านกับยาย ให้ยายเลี้ยงอยู่บ้าน แต่วันนี้ความหวังพังทลายลงหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ลูกสาวกับหลานในท้องก็ดูแข็งแรง ไม่เคยคิดจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เคยเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าจะตรงกับตัวเอง ซึ่งหลังจากสูญเสียหลานไป ทางโรงพยาบาลบอกว่าจะรับผิดชอบ แต่เขาบอกว่าถ้าจะเรียกร้องถึงหลักล้าน ทางโรงพยาบาลไม่มีเงิน แล้วก็บอกว่าไม่ให้ไปโพสต์เรื่องราวลงโซเชียล โดยอ้างว่าถ้าโรงพยาบาล ตรวจสอบเหตุการณ์แล้วไม่ผิดจริง เขาจะฟ้องคืน ซึ่งคนที่พูดก็คือตัว ท่าน ผอ.