แม่นอนซมมาสามวันแล้ว จนเธอนึกเบื่อและเอือมระอาเต็มทีกับอาการ “ดื้อยา” ของแม่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่จะพยายามดื้อรั้นเก็บ “รักษา” โรคเอาไว้กับตัวทำไม ในเมื่อก็ไม่เห็นจะเป็นดอกเป็นผลกับใครในบ้านเลยสักคน จะมีก็แต่คนบ่นให้รำคาญหู
[คำว่า “ยา” ในภาษาไทยถิ่นเหนือ ถ้าใช้เป็นคำกริยาจะมีความหมายว่า “รักษา” ดังนั้นคำว่า “ดื้อยา” ในที่นี้จึงมีความหมายว่า การดื้อดึงไม่ยอมให้รักษาอาการนั่นเอง]
เจ้าฟลุ๊ค กับ เจ้าแฟรงค์ — ลูกชายตัวดีทั้งสองคนของเธอก็มักจะถือเอาอาการดื้อยาของยายเป็นข้ออ้างที่จะไม่กลับบ้านหรือกลับบ้านช้าเสมอ จะมีก็แต่สามีของเธอกระมัง ที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวเอาเสียเลยกับอาการ “ดื้อยา” ของแม่ยาย
“แหม … คุณก็ คุณแม่ท่านอายุมากแล้วนะ ก็ต้องมีเจ็บออด ๆ แอด ๆ บ้างเป็นธรรมดา”
เธอแอบสังเกตเห็นว่าเขามักจะระบายยิ้มออกมาด้วยเสมอเมื่อพูดประโยคนี้ซ้ำ ๆ
แฟรงค์ โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วในปีนี้ ขนคิ้วที่ดกดำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นแอบนำเอาปีกกามาวางพาดไว้เหนือดวงตากลมคู่สวย ประกอบกับริมฝีปากได้รูป บางแดงระเรื่อบนดวงหน้าที่ได้สัดส่วนสมบุรุษเพศเข้าขั้น “พระเอก” ทำให้คนเป็นแม่อย่างเธออดเป็นห่วงไม่ได้ทุกครั้งเมื่อลูกชายคนเล็กโทร.มาบอกว่า “วันนี้ผมขอกลับบ้านเย็นหน่อยนะแม่ มีติวกับเพื่อนนิดหน่อย”
เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่า “นิด” กับ “หน่อย” ในประโยคนั้น จะเป็น “เพื่อนสาว” ของลูกชาย ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนสาวที่ระริกระรี้จนตัวสั่น เพราะอยากจะเป็น “เจ้าสาว” ในอนาคตของลูกชายเธอแล้วล่ะก็ บอกตามตรงว่าคนเป็นแม่เธอก็ไม่อยากจะยิ้มต้อนรับสักเท่าไรนัก
‘คุณพ่อ มอ.หก’ ไม่ควรจะเป็นย่อหน้าใดย่อหน้าหนึ่งในวรรณกรรมชีวิตที่ลูกชายคนเล็กของเธอต้องอ่าน
ฟลุ๊ค อายุครบยี่สิบห้าปีแล้วในปีนี้ ใคร ๆ ชอบพูดกันให้เธอแอบไม่สบายว่าช่วงเวลาแห่งเบญจเพสมักจะมีอาถรรพณ์เสมอ เพราะเทพแห่งโชคชะตามักจะเลินเล่อปล่อยให้ตัวเคราะห์ร้ายมาก่ออุบัติเหตุในชีวิตคนเราถี่และบ่อยครั้งเกินไป จนอาจถือนับเอาเป็นกราฟเส้นสถิติที่มองไม่เห็นก็ย่อมได้