“บิ๊กตู่” ยันไม่ลาออกหนีปัญหา แฉ “ส.ส.กรีดแขน” มีเบื้องหลังหวังดึงต่างชาติมาเอี่ยว

ข่าวด่วนเกาะกระแส

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.63 ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวปิดท้ายการประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เพื่อขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติว่า หลายอย่างที่ตนได้ฟังในสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พวกท่านบอกว่าไม่ค่อยเห็นชอบกับตนในหลายเรื่อง มีการพูดโจมตีตนตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา และตนทราบดีว่านั่นเป็นการทำงานของพวกท่าน ตนรับได้ และตนได้ฟังมาเรื่องต่าง ๆ อาทิ เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขต่าง ๆ ที่พวกท่านกล่าวอ้างเป็นสิ่งที่บิดเบือน ไม่ใช่ความจริง รัฐบาลได้พยายามชี้แจงตัวเลขที่ถูกต้อง ส่วนการที่บอกว่ามีประชาชนยากจนมากขึ้นนั้น ที่จริงการขึ้นบัญชีทะเบียนคนจนเป็นการใช้ข้อมูลจากบิ๊กดาต้า ตัวเลขที่ถูกส่งมาในรัฐบาลของตนนั้นก็เป็นตัวเลขที่มาจากรัฐบาลชุดก่อน ๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องมีมาตรการออกมาดูแลคนกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีการดำรงชีวิตที่ดี มีอาหารการกินเพียงพอ ขณะเดียวกัน ประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในโครงการต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนการทำเกษตรกรรมโดยใช้พื้นที่ทำการเกษตรอย่างเหมาะสม

นายกฯ กล่าวต่อว่า ที่กล่าวหาว่าตนต้องลาออก เพราะบริหารประเทศล้มเหลว ขอถามว่า หากย้อนไปปี 2549-2557 มีการชุมนุม ถามว่ามีทางออกหรือไม่ อย่าลืม ส่วนการชุมนุมตนรักลูกหลานทุกคน ตนรักเด็ก นิสิตเป็นพลังแผ่นดินในวันข้างหน้า แต่เราควรสร้างความเข้าใจกันได้หรือไม่ ควรมีการชี้นำกันที่ถูกต้อง สงบ ตนยอมรับฟังเสียงของทุกคน มีทั้งทำได้ทำไม่ได้ สำหรับการที่ท่านสมาชิกบอกว่า มีการใช้สื่อโซเชียลขับเคลื่อนนั้น ตนในฐานะรมว.กลาโหม มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตาม ทราบว่า การแจ้งข้อความต่าง ๆ มีคนโพสต์ครั้งแรก 200 คน จากนั้นไม่กี่นาทีเพิ่มเป็น 50,000 คน จากแอคเคานท์เดิม ตนก็ไม่ทราบว่า ใช้เทคโนโลยีอะไร ตัวเลขที่ออกมาจากระยะที่ 1 2 3 เท่ากันหมด มีเครือข่ายหรือไม่ ตนไม่แน่ใจ อีกทั้งมีการใช้ระบบเอไอในการโพสต์ข้อมูลต่าง ๆ หรือไม่ ตนก็แจ้งเพื่อทราบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้ไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลใด ๆ การที่จะบอกว่ารัฐบาลปิดกั้น ตนไม่ปิดกั้น แต่ถ้าละเมิดจนเกินไปไม่สุภาพตนคิดว่าสังคมรับไม่ได้ สุดท้ายตนขอขอบคุณสมาชิกรัฐสภาที่ช่วยหาทางออกให้รัฐบาล ตนห่วงประเทศชาติของเราเหมือนที่ทุกท่านเป็นห่วงว่าจะเป็นอย่างไร จะเดินไปทางไหน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับการควบคุมสถานการณ์โรคโควิด-19 ประเทศไทยเป็นศูนย์แห่งการท่องเที่ยว วันนี้เราเปิดประเทศได้แล้วแต่เปิดโดยใช้ความระมัดระวัง วันนี้มีคนต้องการเข้าประเทศไทยอีกเป็นพันเป็นหมื่นราย เราจำเป็นต้องจัดเที่ยวบินมีการเจรจากับประเทศที่มีความเสี่ยงน้อย ความสำเร็จนี้คนไทยช่วยกันสร้างช่วยกันประคับประคองประเทศได้ แต่จากการชุมนุมในกรุงเทพฯ ตนไม่โทษเขา แต่มีอะไรหรือเปล่าตนไม่ทราบ แต่หลายคนอาจจะทราบ สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังขับเคลื่อนในการสร้างความเชื่อมั่น วันนี้เรามีมาตรการผ่อนคลายอีกหลายอย่าง วันนี้ถ้าท่านไม่ฟังท่านก็ไม่เข้าใจ โจมตีรัฐบาลอยู่ร่ำไป แต่ตนรับได้ เรื่องนี้นำมาสู่ความแตกแยกในสังคมโดยเฉพาะสถาบันครอบครัว

นอกจากนี้ กลุ่มที่ถูกชักชวนในโลกโซเชียลมีเดีย ทุกวันนี้มีกลุ่มจับอุปนิสัยของกลุ่มคนเปราะบางเหล่านั้น เขาจับกลุ่มทั้งหมดว่านิสัยคนเสพกลุ่มโซเชียลมีเดียเป็นอย่างไรจนรู้จักนิสัย จนทำให้กลุ่มเป้าหมายนำไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางของเรา ให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่อีกฝ่ายต้องการ ท่านอ่านได้ โพสต์ได้ ฟังได้ แต่อย่าเชื่อทุกอย่างที่เห็นที่ฟัง ท่านต้องมีสติปัญญาของท่านเองในการรับข้อมูล ขอประชาชนสนใจเรื่องเหล่านี้ ซึ่งสังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ เพื่อที่จะเข้าใจว่ากลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนำคนกลุ่มเปราะบางไปปรุงแต่งความคิดได้เสมอ ซึ่งไม่คุ้ม เราจะเสียใจต่อการกระทำในวันข้างหน้า จึงให้ระวังข้อมูลในการเผยแพร่ไปต่างประเทศ ทั้งนี้ ตนได้รับข้อมูลจากนักข่าวที่อยู่ข้างล่างว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้น มีเบื้องหลังพอสมควร ขอให้ติดตามดูก็แล้วกัน เขาบอกว่า มีการเตรียมกันไว้แล้วจะมีช็อตเด็ด ให้เลือดตกยางออก เพื่อให้แพร่ไปสู่เวทีโลก ทั้งนี้ ตนก็เสียใจกับเหตุการณ์นั้น เพราะไม่เคยเกิดขึ้นในสภามาก่อน

นายกฯ กล่าวอีกว่า ตนยินดีร่วมมือในการแก้ปัญหา แต่เราต้องไม่ลิดรอนสิทธิของคนอื่น ตนเห็นด้วยกับแนวทางตั้งคณะกรรมการ เพื่อนำไปสู่แนวทางพูดคุยหาทางออกกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล รัฐสภา ผู้เห็นต่าง หรือกลุ่มใดก็แล้วแต่ ซึ่งต้องนำสู่การปฏิบัติให้ได้ ก็ไปหามาว่าจะหาใครมาร่วม ตนก็กังวลว่าจะเจรจาคุยกับใคร ใครเป็นหัวหน้า เพราะทุกคนเป็นหัวหน้าหมด ข้อเรียกร้องใดพิสูจน์ได้ว่าเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ตนขอสงวนสิทธิ ส่วนการลาออกการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ในขั้นตอนของรัฐสภาอยู่แล้ว ตนไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง ต้องไปถามคนร่างรัฐธรรมนูญ ตนไม่ได้เป็นคนร่าง บางครั้งท่านก็พูดด้วยอารมณ์ของท่านไปบ้าง ก็มาไล่ตนทุกวันก็ให้ความเป็นธรรมกับตนบ้าง ตนจะไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อหนีปัญหา เหมือนที่บางคนเคยทำ และตนจะไม่ละทิ้งหน้าที่ด้วยการลาออก ยามที่บ้านเมืองมีปัญหา ตนจะยังแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องได้รับการแก้ไขอยู่ หลายคนบอกรัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ตนขอถามว่า ถนน รถราง และรถไฟฟ้า เกิดขึ้นมากแค่ไหน ทั้งนี้ ตนไม่ใช่คนที่ฟังคนเพ็ดทูลอย่างเดียว ใครมาทำแบบนั้น ตนด่าไล่กลับทุกคน เพราะตนอ่านเองได้ และตนไม่ได้บริหารงานอยู่บนหอคอยงาช้างอย่างที่พวกท่านคิด เรื่องรัฐธรรมนูญ ตนก็มีจุดยืนอยู่แล้ว

“การได้ชัยชนะกันท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านเมือง ผมถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ จะไม่เหลืออะไรอีกเลย สิ่งที่ท่านคาดหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงดุลแห่งอำนาจ ก็จะไม่เหลือให้ท่านแม้แต่น้อยนิด กรรมใดใครก่อก็รับไป จะทำบุญทำกุศล ก็ไม่มีใครช่วยได้ ผมจะปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไปจนกว่าจะไม่มีโอกาสได้ทำ ชัดไหมครับ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

จากนั้นเวลา 21.30 น. นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วง นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ซึ่งทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ที่ปล่อยให้นายกฯพูดใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุม โดยบอกว่าเอาต่างชาติมาเกี่ยวข้อง การกล่าวหาผู้ชุมนุมอย่างนี้ ท่านมีหลักฐานอะไร ขอให้เอามาแสดง เพราะไม่เป็นธรรมกับผู้ชุมนุม แล้วอย่าชี้หน้า ทำให้นายกฯ สวนกลับว่า “ผมไม่อยากตอบโต้ ขอโทษครับ ผมไม่ยุ่งกับท่านดีกว่า” ทำให้นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ลุกขึ้นประท้วงนางอมรัตน์ แต่นายชวนขอวินิจฉัยเองว่า การประท้วงไม่มีอะไรผิดข้อบังคับ แต่นางอมรัตน์ยังคงเรียกร้องให้นายกฯ ถอนคำพูดที่กล่าวหาว่า ต่างชาติเกี่ยวข้องกับม็อบมา เพราะไม่เป็นธรรมกับผู้ชุมนุม ทำให้นายชวน กล่าวว่า ถ้าพูดไม่ฟังก็ขออนุญาตปิดเสียง พร้อมกล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้มีอะไรผิด

นายชวน กล่าวในตอนท้ายว่า ขอบคุณที่ให้ความสนับสนุนเปิดสมัยวิสามัญ ถ้าส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ตนก็จะไม่ขอไปที่นายกฯ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือเมื่อเราทำหนังสือแจ้งไปยังนายกฯ ความจริงท่านอาจจะบอกเห็นด้วย แต่ให้เราเข้าชื่อกัน ตนไม่แน่ใจว่า เราจะหาชื่อทันหรือไม่ ดังนั้น ต้องขอบคุณนายกฯที่รับไปเอง และมาตรา 165 คือการฟังความคิดเห็นในกรณีที่เป็นการบริหารแผ่นดินที่สำคัญ ความเห็นที่ออกมาทั้งหมดบางอย่างก็ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าเราระลึกว่าความเห็นนั้น ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงในทำนองประทุษร้ายกันในสภานี้ก็จะเป็นที่ที่เราหาข้อยุติบางอย่างได้ และที่มาทั้งหมดที่เราต้องทำเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะเราเป็นผู้กังวลฝ่ายเดียว คนที่กังวลมากกว่าเราคือประชาชน

นายชวน กล่าวยด้วยว่า ตนเชื่อว่าเพื่อนสมาชิกที่เสนอความเห็นมาจากความลำบากใจ และทุกข์ใจของประชาชนที่ไม่รู้ว่าประเทศจะไปทางไหน เราได้ยินคำถามเหมือนที่ตนได้ยินว่า บ้านเมืองจะไปอย่างไร ไม่มีใครตอบอะไรได้เชียวหรือ ดังนั้น สภาต้องหาทางออกที่บรรเทา ตนไม่เคยใช้คำว่าเราแก้ปัญหาทั้งหมด แต่เราจะลดปัญหาลงระดับหนึ่ง ส่วนข้อเสนอที่นายวิรัชเสนอให้ตั้งคณะกรรมการหาทางออกประเทศแล้วนายกฯเห็นด้วยเป็นเรื่องนอกเหนือจากมาตรา 165 แต่เราจะรับไปหารือกันอีกทีกับทุกพรรคการเมือง และส.ว.รวมทั้งบุคคลภายนอกว่าจะดำเนินการข้อเสนอนี้อย่างไรถึงจะเกิดผลสำเร็จจริง จากนั้น เลขาธิการสภาฯ อ่านพระบรมราชโองการปิดสมัยวิสามัญ และนายชวนได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 22.05 น

เครดิต https://www.dailynews.co.th/politics/803557