พระสมเด็จวัดเกศไชโย วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง

พระเบญจภาคี

วัดไชโย เป็นวัดราษฎรสามัญสร้าง เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแต่โบราณกาล ปรากฎชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปก็เมื่อครั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ผู้เป็นอมตะเถระ ได้มาสร้างพะรพุทธรูปใหญ่โตขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เรียกกันว่าหลวงพ่อโต ต่อมามีชื่อว่า พระมหาพุทธพิมพ์

พระมหาพุทธพิมพ์ ครั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สร้างนั้น เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิ ก่ออิฐสอดินถือปูนขาว ไม่ได้ปิดทอง ประทับนั่งอยู่กลางแจ้ง ขนาดหน้าตักกว้าง ๘ วา ๖ นิ้ว สูงสุดถึงยอดพระรัศมี ๑๑ วา ๑ ศอก ๗ นิ้ว มองเห็นได้แต่ไกล

ปรากฎในจดหมายเหตุครั้งเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา (พ.ศ. ๒๔๑๖) เสด็จขึ้นทอดพระเนตรพระโตนี้ ทรงมีพระราชดำรัสว่า …พระใหญ่ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สร้างนี้ ดูหน้าตารูปร่างไม่งามเลย ดูที่หน้าวัดปากเหมือนขรัวโตไม่มีผิด ถือปูนขาว ไม่ได้ปิดทองทำนองท่านไม่คิดจะปิดทอง จึงได้เจาะท่อน้ำไว้ที่พระหัตถ์ (มือ) ดังนี้…

สืบต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยารัตนบดินทร (บุญรอด) ที่สมุหนายก สำเร็จราชการกรมมหาดไทยเป็นแม่กองปฏิสังขรณ์วัดไชโยขึ้นใหม่ทั่วพระอารามเมื่อปีกุน (พ.ศ.๒๔๓๐)

ครั้งเมื่อสร้างพระวิหารครอบพระมหาพุทธพิมพ์ได้มีการกระทุ้งราก ฝังเข็มพระมหาพุทธพิมพ์พระพุทธรูปใหญ่ทนการกระเทือนไม่ได้จึงพังทลายลงมา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับสร้างพระพุทรูปขึ้นใหม่เป็นของหลวงทดแทนพระพุทธรูปที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้สร้างเอาไว้

จากเหตุที่เจ้าพระยารัตนบดินทร (บุญรอด) ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัดไชโยและสร้างวิหารครอบพระมหาพุทธพิมพ์ หรือพระใหญ่ ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างขึ้นไว้ เนื่องจากด้วยแต่เดิมที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างไว้นั้นองค์ใหญ่โตมาก การสร้างก็ไม่มั่นคงแข็งแรงแต่อย่างใด เพียงแต่อิฐสอดินและถือปูนเท่านั้น ไม่มีโครงสร้างยึดเกาะ

จากเหตุที่พระมหาพุทธพิมพ์พังทลายลงมานี้เอง จึงได้พบพระพิมพ์เนื้อผงขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นจำนวนมาก ตามที่เราท่านรู้จักกันดีในนามพระสมเด็จวัดเกศไชโยนั่นเอง

พระสมเด็จวัดเกศไชโยนี้เป็นที่ยอมรับและเชื่อกันว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้สร้างและบรรจุเอาไว้เพื่อเป็นพุทธบูชาและเป็นอนุสรณ์ แต่โยมมารดาของท่าน ชื่อเกศ หรืออีกนัยหนึ่งว่ากันว่า ท่านเกิดและเจริญเติบโตมานั่งได้ที่นี่ เป็นต้น

และยิ่งไปกว่านั้น ยังเดากันว่า เหตุที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเจาะจงให้ช่างแกะแม่พิมพ์สมเด็จตรงช่วงทรวงอกให้เป็นร่องลึกนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า ธรรมดาเมื่อบุตรธิดาเกิดมาลืมตาดูโลกก็ได้อาศัยดื่มกินน้ำนมอันเกิดแต่เลือดเนื้อเชื้อไขของมารดาจนกระทั่งท่านมีอันต้องผ่ายผอมลงจนอกท่านเป็นร่อง เป็นเครื่องยังชีพให้ทารกได้เจริญเติบโตใหญ่มาได้นั้น บุญคุณท่านสุดจะประมาณได้กว้างใหญ่ไพศาลถึงแผ่นฟ้าแผ่นดิน

พูดถึงพระสมเด็จวัดไชโยก็แปลกอยู่อย่างทั้งๆ ที่วัดนี้เขาเรียกกันว่าวัดไชโยด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าผู้เฒ่าผู้แก่ หรือชื่อที่ปรากฎอยู่ในทำเนียบวัดเขาก็ชื่ออย่างนั้น หรือชื่อที่ปรากฎอยู่ในทำเนียบวัดเขาก็ชื่ออย่างนั้น พอเกิดได้พระสมเด็จขึ้นมากลับเติมคำว่าเกศลงไปข้างหน้า เป็นพระสมเด็จวัดเกศไชโยไปเสียและเรียกเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

วัดนี้มีชื่อเต็มว่า วัดไชโยวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ตั้งอยู่ใน ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง บนฝั่งขวาของแมน้ำเจ้าพระยา วัดนี้นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระมหาพุทธพิมพ์แล้วยังมีรูปหล่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อีกด้วย

รูปหล่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหลวงหล่อขึ้นเป็น ๒ องค์ด้วยกัน พระราชทานแก่วัดระฆังโฆสิตารามและวัดไชโย

ถึงหน้าเทศกาลงานนมัสการพระพุทธรูปประจำปี ประชาชนจะหลั่งไหลมาจากกหัวเมืองต่างๆ เพื่อนมัสการพระมหาพุทธพิมพ์ พระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์และปิดทองรูปหล่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ

คราวที่ ๒ กำหนดในฤดูน้ำ เดือน ๑๑ แรม ๘ ค่ำ ถึงแรม ๑๐ ค่ำ รวม ๓ วัน ๓ คืน อีกเช่นกันงานในฤดูน้ำนี้สนุกสนานมาก มีการออกร้านเยี่ยงงานภูเขาทอง ในกรุงเทพฯ เวลานั้นน้ำขึ้นเต็มฝั่ง การสัญจรไปมาสะดวกมาก เรือแพนาวาจอดยาวเหยียดตลอดฝั่งแม่น้ำ โดยเฉพาะหน้าวัดไชโยจะจอดเรียงซ้อนกันไปเกือบกลางแม่น้ำเจ้าพระยา

ความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาพุทธพิมพ์และรูปหล่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ นั้น ประชาชนเคารพนับถือความศักดิ์สิทธิ์ในเชิงน้ำมนต์รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และความมีสิริมงคลสืบต่อมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

พุทธลักษณะพระสมเด็จวัดเกศไชโย เป็นแบบเดียวกันกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม และพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผิดกันที่องค์พระมีลักษณะเป็นอกร่อง ผงส่วนมากที่ทำสำเร็จเป็นองค์พระมักมีสีขาวมากกว่าสีอื่นๆ ด้านหลังของพื้นฐานบางองค์เป็นรอยกาบหมากเห็นเป็นเส้นๆ ได้ชัด กล่าวกันว่าสมเด็จฯ ท่านสร้างแล้ว จึงเอาไปบรรจุไว้ ณ วัดสะเกศ ตำบลสะเกศ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง เลยเรียกกันว่า พระสมเด็จวัดเกศไชโย (ตัดคำว่าสะออกเสียเพื่อพูดสะดวกปาก) แต่นักพระเครื่องบางท่านว่าสมเด็จบรรจุที่วัดไชโย ตำบลไชโย อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง ท่านได้สร้างพระนี้อุทิศให้กับโยมมารดา ซึ่งเคยพาท่านมาอยู่ ณ ที่ตำบลไชโยนี้ ประกอบกับมารดาท่านชื่อ เกศ พระวัดไชโยจึงมีชื่อว่า สมเด็จวัดเกศไชโย

พระสมเด็จวัดเกศไชโย จังหวัดอ่างทอง เป็นพระเนื้อปูนขาว สร้างโดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ใน สมัยรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ พระสมเด็จวัดเกศไชโยฯ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๙ พุทธศิลปะอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์

พระสมเด็จวัดเกศไชโยฯ ตามความนิยมในวงการพระเครื่องมี ๓ พิมพ์ด้วยกัน คือ

-พิมพ์ ๗ ชั้น อกตัน

-พิมพ์ ๖ ชั้น อกตัน

-พิมพ์ ๖ ชั้น อกตลอด

จากบันทึกของพระยาทิพโกษา (สอนโลหะนันท์) และนายก สัชฌุกร ซึ่งได้บันทึกจากการบอกเล่าของพระธรรมถาวร จันทโชติ สามเณรที่ช่วยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ตำผงเพื่อสร้างพระสมเด็จประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๙ ที่วัดระฆังโฆสิตารามฯ พระที่สร้างขึ้นในสมัยนั้นมีทั้ง ๓ ชั้น และ ๗ ชั้น ซึ่งพิมพ์ ๗ ชั้นได้นำไปบรรจุไว้ที่ วัดเกศไชโยฯ จังหวัดอ่างทอง

นอกจากนี้พระยาทิพโกษาฯ ได้บันทึกไว้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นผู้สร้างเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับโยมมารดา มีชื่อว่า เกศ และตามีชื่อว่า ไช พระสมเด็จจึงถูกขนานนามตามชื่อวัดว่า สมเด็จวัดเกศไชโย สมเด็จพระพุฒาจารย์ฯ ท่านสร้างพระสมเด็จพิมพ์ ๗ ชั้นนี้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม แล้วนำมาแจกและบรรจุไว้ในกรุวัดไชโยวรวิหารนี้ ในคราวที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ฯ ได้มาสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่หรือพระมหาพุทธพิมพ์ที่วัดนี้