รวบ “ครูหื่น” ขออึ๊บนักเรียน ปวช.ที่ร้อยเอ็ด “แลกเกรด” ก่อเหตุอย่างน้อย 3 ราย

Exclusive ข่าวอาชญากรรม ภัยสังคม

ความคืบหน้า กรณีนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด สุดทนแพร่คลิปครูขอมีเซ็กซ์กับนักเรียนเพื่อแลกเกรด เป็นเหตุให้ผู้ปกครองพาแจ้งความพร้อมคลิปหลักฐานที่ถ่ายไว้แจ้งตำรวจ โดยมีเพื่อนอีก 2 คน ที่โดนครูเรียกไปขู่หาว่าติดยาแล้วทำอนาจารพร้อมกับขอร่วมเพศแต่ตนไม่ยอม ยืนยันเมื่อเรื่องดังจึงมาแจ้งความ ขอเอาเรื่องจนถึงที่สุด และเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2564 ผู้ปกครองนักเรียนที่เด็กถูกกระทำ ได้นำเด็กนักเรียน ระดับ ปวช.วิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งถูกคุณครูคนดังกล่าวเคยชักชวนไปร่วมหลับนอนด้วยจำนวน 3 คน ที่เรียน ปวช.มาแจ้งความกับ ร.ต.อ.พศิน ทองสระคู รองสารวัตร(สอบสวน)ที่ สภ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด เพื่อดำเนินคดีกับครูรายดังกล่าว

โดยผู้เสียหายให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนว่า ทั้ง 3 เหตุ เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันและผู้ปกครองทราบจาก ลูกหลานว่าเหตุเกิดตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 ที่ผ่านมา แต่ไม่กล้าแจ้งความเพราะไม่มีหลักฐาน และไม่กล้าหามูลเหตุมาดำเนินคดีกับครู จนกระทั่งเกิดเหตุเป็นเรื่องอื้อฉาว เมื่อมีคนนำคลิปที่นักเรียนแอบถ่ายการสนทนาเอาไว้ไปเผยแพร่จึงกล้ามาแจ้งความ ซึ่งการแจ้งความ ในวันนั้น มีนักเรียนรายหนึ่ง ใน 3คน ได้นำคลิปที่ถ่ายไว้ มาเป็นหลักฐานเพื่อการประกอบสำนวนการสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับครูรายดังกล่าวด้วย

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้ (19 มี.ค.64) พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.สอบสวนกลาง พร้อมกับ พล.ต.ต.สยาม บุญสม ผบก.กองป้องกันการปราบปรามการค้ามนุษย์ร่วม ได้นำหมายจับไปจับครูคนดังกล่าว คือนายชัยศรี สมทรัพย์ อายุ 58 ปี ครูรายดังกล่าวที่บ้านพัก ในตำบลเกษตรวิสัย อ.เกษตรวิสัย ควบคุมตัว มาสอบสวนยังห้องสอบสวน ภ.จว.ร้อยเอ็ด โดยมี พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผช.ผบ.ตร.ลงมาควบคุมสอบสวนปากคำผู้ก่อคดีด้วยตนเอง และยังเรียกสอบนักเรียนหญิง 4 คน ที่อยู่ในเหตุการณ์ มาสอบสวนในฐานะพยานที่รู้เห็นพฤติกรรมของครูคนนี้ เพื่อเร่งสรุปสำนวนคดี

พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ ได้รวบรวบมพยานหลักฐาน สำนวนการสอบสวนแล้วเชื่อว่ากระทำความผิดจริง จึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับ นำมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติม ได้ผลทางสำนวนที่เป็นที่น่าพอใจ และนำมาสอบสวนปากคำเพิ่มเติม รวมทั้งเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้เกิดความรัดกุมสมบูรณ์ในการที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ในส่วนของคดีตั้งข้อหาเบื้องต้นในข้อหาทำอนาจารเด็ก และทำผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ซึ่งหลังจากการสอบสวนแล้ว ก็จะโอนคดีไปยังส่วนกลาง เพื่อนำตัวไปดำเนินคดีต่อไป ส่วนจะรับหรือไม่รับสารภาพนั้นไม่สำคัญ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานที่ชัดเจน ว่าเป็นผู้ก่อเหตุ จนกระทั่งสามารถขอให้ศาลออกหมายจับได้ ซึ่งเชื่อมั่นว่ามีพฤติกรรมกระทำความผิดจริง พอที่จะดำเนินคดีได้.

แหล่งข่าว https://www.thairath.co.th/news/crime/2053547