ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ “3 พรฎ.” ช่วยเอสเอ็มอี ให้ฟื้นตัวจากโควิด-19

ข่าวเศรษฐกิจ

1.วันที่ 14 ก.ค.63 จากกรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักและเกิดผลกระทบต่อธุรกิจรายเล็กและรายใหญ่นั้น

2.ล่าสุด รัฐบาลได้ออกกฎหมายเพื่อเข้ามาช่วยให้ธุรกิจรายเล็ก (SMEs) ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเหมาะสม โดยช่วยยกเว้นภาษีธุรกรรมครึ่งหนึ่งของรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาตรการรัฐ 2 เท่าของรายจ่ายเงินเดือนพนักงานช่วงวันที่ 1 เม.ย.-31 ก.ค.2563 และสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ

3.เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) 3 ฉบับ เพื่อยกเว้นภาษีแก่ธุรกรรมตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 137 ตอนที่ 54 ก วันที่ 12 กรกฎาคม 2563 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ประกอบด้วย

3.1 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 707พ.ศ.2563 มีเหตุผลว่า
-รัฐบาลมีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

-สมควรยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่เป็นดอกเบี้ยเงินกู้ยืมตามมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่ผู้ประกอบการดังกล่าว

3.2 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 708) พ.ศ.2563 มีเหตุผลว่า
-ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายไม่เกินห้าร้อยล้านบาท

-ที่มีการจ้างแรงงานไม่เกินสองร้อยคน สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละสองร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2563 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2563 เพื่อเป็นค่าจ้าง

-สำหรับการจ้างงานลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แก่ผู้ประกอบการและส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานภาคธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

3.3 พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 709) พ.ศ.2563 มีเหตุผลว่า
-ปัจจุบันลูกหนี้จำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ได้ เนื่องมาจากการได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง

-การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินและเจ้าหนี้อื่นจะเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายการลงทุนของภาคเอกชน

-เป็นการส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง สมควรกำหนดให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2564

4.พระราชกฤษฎีกาทั้ง 3 ฉบับนั้นสอดรับกับมาตรการที่ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทระทรวงคลัง ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพิ่มเติม

5.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เตรียมวงเงินสำหรับค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 3 หมื่นล้านบาท คาดว่า จะช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ 4.5 หมื่นล้านบาท

6.สำหรับช่วง 2-3 เดือนนี้ หลังจากนั้นจึงจะพิจารณาช่วยเหลือด้านเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม ซึ่งมาตรการดังกล่าวไม่ต้องเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ทันที

7.ส่วนการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก ที่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบ โดยมอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นผู้ดำเนินการ

8.โดยขนาดกองทุน จำนวน 5 หมื่นล้านบาท ใช้วงเงินจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่งจะให้ สสว.ปล่อยกู้เงื่อนไขผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็กรายละไม่เกิน 1 ล้านบาท

9.จุดประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีสถานะปกติ แต่เข้าไม่ถึงแหล่งทุนและผู้ประกอบการที่เป็นหนี้เสียกับระบบสถาบันการเงินด้วย โดยจะเสนอให้ ครม.พิจารณาสัปดาห์หน้าต่อไป