“ลุงพล” ลั่น “คนร้ายตัวจริงนอนไม่หลับแน่” – เอาฤกษ์เอาชัยพา “ทนายตั้ม” กราบพระธาตุเชิงชุม

Exclusive ข่าวอาชญากรรม ภัยสังคม มุกดาหาร

(25 ม.ค.64) จากกรณีนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ติดต่อให้นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เข้ามาช่วยดูแลคดีน้องชมพู่ หากลุงพลถูกตำรวจออกหมายจับ โดยทนายตั้มมีกำหนดเดินทางไปบ้านลุงพล ที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร โดยเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ลงที่สกลนคร ในเวลาประมาณ 14.30 น. วันที่ 25 ม.ค. โดยมีทีมทนายความและนายแพทย์ร่วมเดินทางไปด้วย ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าทนายตั้มและคณะอาจต้องถูกกักตัว 14 วัน ตามมาตรการโควิด-19 เพราะเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงสูง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

สำหรับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 25 ม.ค. ที่จ.สกลนคร นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พร้อมนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล พร้อมนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ร่วมกันแถลงข่าว

โดยนายษิทรา เปิดเผยว่า เมื่อได้พูดคุยกับลุงพลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่าหากตนไปหมู่บ้านกกกอกจะต้องกักตัว 14 วัน เพราะมาจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งตนเป็นทนายความ ต้องทำตามกฎหมายและคำสั่งของจังหวัด แต่ตนไม่สามารถกักตัวได้ เพราะยังมีคดีที่ต้องทำอีกจำนวนมาก จึงตัดสินใจไม่เข้าพื้นที่จ.มุกดาหาร จนกว่าจังหวัดจะคลายล็อก ต้องขออภัยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และสาธารณสุขจังหวัดมุกดาหาร ถึงกรณีโพสต์เฟซบุ๊กก่อนหน้านี้ตอบโต้เรื่องที่จังหวัดไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่ ยอมรับว่าโพสต์ด้วยอารมณ์ เพราะขณะนั้นน้อยใจที่ได้ประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดเป็นการส่วนตัวแล้ว บอกไม่ต้องกักตัว แค่มารายงานตัวในแอพพลิเคชั่นหมอชนะทุกวัน ซึ่งตนก็แถมไปตรวจโควิดให้ด้วย แต่อาจเพราะการสื่อสารผิดพลาด

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากหมายจับออกก่อนวันวาเลนไทน์นี้ แล้วเป็นลุงพล จะทำอย่างไร นายษิทรา กล่าวว่า ตนพร้อมที่จะช่วยเหลือเรื่องคดีให้ก่อน แม้ว่าจะอยากลงพื้นที่ค้นหาความจริงก่อนจะรับทำคดีอย่างเต็มตัว ส่วนกรณีที่ตำรวจใช้เวลากว่า 8 เดือนในการรวบรวมพยานหลักฐาน ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หลักฐานบางอย่าง เช่น กรณีที่ตำรวจบอกว่าผมของน้องชมพู่ถูกตัด ส่วนตัวได้พูดคุยกับนักวิชาการแล้ว ยืนยันว่าในประเทศไทยยังไม่มีเครื่องมือที่จะตรวจสอบหรือยืนยันได้ว่าเส้นผมถูกตัด หรือขาดเองโดยธรรมชาติ สุดท้ายแล้วคนที่เป็นผู้ชี้ขาดถ้าใครทำผิดว่าใครทำผิดคือศาล

ด้านนายไชย์พล เปิดเผยว่า ยังเชื่อว่าคนร้ายที่ฆ่าน้องชมพู่ตัวจริงคงนอนไม่หลับ ส่วนตนยังไม่ขอระบุว่าเป็นคนใกล้ชิดหรือเป็นคนในหมู่บ้านหรือไม่ ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ สุดท้ายอยากให้กำลังใจตำรวจในการทำคดีนี้ให้สามารถจับกุมคนร้ายได้เร็วที่สุด ส่วนกรณีที่คดีนี้ล่วงเลยมา 7-8 เดือนยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ การมาของนายษิทราครั้งนี้ จะทำให้คดีนี้กระจ่างขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากทีมแพทย์ที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานของนายษิทราเผยว่า การตรวจสอบสภาพศพของน้องชมพู่ในคดีนี้ ตำรวจใช้วิทยาศาสตร์เทียม โดยไม่ได้อ้างอิงถึงการผ่าศพมาประกอบ แต่นำผลแวดล้อมมาประกอบ เช่น การเพาะไข่แมลงวันที่พบในศพน้องชมพู่ ซึ่งคดีแบบนี้ ควรใช้การผ่าศพผู้เสียชีวิตมาเป็นตัวยืนยัน ไม่ใช่ใช้สภาพแวดล้อมของศพ ส่วนเรื่องเส้นผมที่พบ ก็ไม่ใช่ตัวชี้ขาดว่าน้องชมพู่จะถูกฆาตกรรมหรือขึ้นไปเสียชีวิตเอง เพราะเส้นผมนี้อาจจะถูกตัดหรือหลุดร่วงระหว่างที่เก็บศพก็เป็นไปได้ เพราะไม่ได้เจอทันทีที่พบศพ แต่เจอหลังจากพบศพไปแล้ว 1 วัน

โดยบรรยากาศการแถลงข่าวเป็นไปด้วยความอบอุ่น ลุงพล ป้าแต๋นและทนายตั้มโอบกอดกัน โดยลุงพลบอกว่ารู้สึกอุ่นใจที่มีนายษิทรามาเคียงข้าง คอยให้คำแนะนำแม้ว่าตำรวจจะยังไม่ออกหมายเรียกหมายจับใคร โดยในวันที่ 26 ม.ค. ลุงพล ป้าแต๋น จะพาทนายษิทรา ไปสักการะพระธาตุเชิงชุม ซึ่งเป็นวัดประจำจังหวัดสกลนคร

แหล่งข่าว https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5814807