สวมบทโหด “พาณิชย์” ยึดหน้ากากทุกชิ้น นำบริหารจัดการเองแก้วิกฤตขาดแคลน

ข่าวด่วนเกาะกระแส

วันนี้ (4 มี.ค. 2563) นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมวอร์รูมหน้ากากอนามัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนว่า

ตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 2563 เป็นต้นไป หน้ากากอนามัยทุกชิ้นที่โรงงานผลิตได้ หรือประมาณ 38 ล้านชิ้น จะต้องนำเข้าสู่ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ทั้งหมด จากก่อนหน้านี้ที่ปันส่วนเข้าศูนย์ประมาณ 40-45% เพื่อให้ศูนย์ฯ สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงมากขึ้น

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการแทรกแซงการทำธุรกิจปกติของภาคเอกชน เพราะ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ให้อำนาจกระทรวงพาณิชย์เต็มที่ในการบริหารจัดการสินค้าควบคุมภายใต้ภาวะวิกฤต ส่วนเมื่อนำมาทั้งหมด 100% แล้ว โรงงานจะสามารถทำการค้าได้ตามปกติหรือไม่นั้นอยู่ที่การพิจารณากันในศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย

“ที่ผ่านมากรมการค้าภายในได้ขอปันส่วนจากผู้ผลิตทั้ง 11 แห่งในสัดส่วนไม่เกิน 45% ของกำลังการผลิต เพื่อมากระจายต่อให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้ก่อน อย่างโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ และส่งให้ร้านสะดวกซื้อ ร้านธงฟ้าทั่วประเทศ เพื่อขายสู่ประชาชน ส่วนที่เหลือโรงงานไปขายเองตามช่องทางการค้าปกติ เช่น ขายให้แก่ลูกค้าต่างๆ แต่กลับพบว่ามีการประกาศขายตามสื่อโซเชียลจำนวนมาก ทำให้ผู้จำเป็นต้องใช้จริงๆ ไม่ได้ใช้ จึงต้องเข้ามาบริหารจัดการเอง”

นอกจากนี้ จะเสนอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน พิจารณาออกประกาศ กกร. กำหนดให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มีหน้ากากอนามัยในครอบครองเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ต้องแจ้งปริมาณการครอบครองต่อกรมการค้าภายใน ตามมาตรา 30 พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ โดยจะเสนอให้ กกร.พิจารณาโดยเร็วที่สุด หากไม่แจ้ง จะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากเดิมที่ กกร.กำหนดให้เฉพาะผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ต้องแจ้งปริมาณที่มีในครอบครอง

นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาผู้ค้าหน้ากากอนามัยเกินราคาผ่านทางออนไลน์ ได้ขอความร่วมมือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในการตรวจสอบเพื่อให้ถึงตัวผู้กระทำผิดผ่านสื่อโซเชียลแล้ว และเมื่อจับกุมได้จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด โดยจะมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะเดียวกัน เจ้าของแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซทุกรายที่มีผู้ขายหน้ากากอนามัยเข้าไปค้ากำไรเกินควร จะเข้าข่ายมีความผิดฐานค้ากำไรเกินควรด้วย โดยมีความผิดฐานเดียวกันกับผู้ค้า รวมถึงผู้ที่เป็นอี-มาร์เก็ตเพลส และเปิดให้ผู้ขายมาโพสต์ขายสินค้าและมีผู้ซื้อเข้ามาซื้อสินค้าก็เสี่ยงมีความผิดกฎหมายอาญา หากพบการกระทำความผิดจะถูกดำเนินการขั้นเด็ดขาดเช่นเดียวกัน