เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาสำคัญในคดีชิงทรัพย์ที่สร้างความสะเทือนใจให้กับสังคม หลังจากหลบหนีการตามล่าของเจ้าหน้าที่มากว่า 4 เดือน โดยคดีดังกล่าวเป็นการกระทำที่โหดร้ายต่อผู้สูงอายุผู้หญิงวัย 72 ปี ที่ถูกหลอกลวงด้วยคำพูดหวานหูก่อนจะถูกทำร้ายและชิงทรัพย์สินมูลค่ากว่า 3 แสนบาท
การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง หมู่ที่ 1 ตำบลวะตะแบก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ โดยผู้ต้องหาถูกตั้งข้อหาหลายประการ ได้แก่ “ร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป” และ “ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย”
รายละเอียดเหตุการณ์วันที่ 25 มีนาคม 2567
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่าเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ขณะที่ นางเกียรติ ผู้เสียหาย อายุ 72 ปี กำลังนั่งรอรถโดยสารประจำทางอยู่ที่ริมถนนสายนางรอง-บุรีรัมย์ ด้วยความไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดในชีวิต
ในขณะนั้นมีคนร้ายเป็นผู้หญิง 2 คน ที่ทราบชื่อภายหลังว่าคือ นางสมพร และนางวราพรรณ ผู้ต้องหารายนี้ ได้ขับรถเก๋งมาจอดใกล้ๆ แล้วทำท่าสอบถามเส้นทาง เมื่อสังเกตเห็นว่าผู้เสียหายมีทรัพย์สินติดตัวเป็นจำนวนมาก ทั้งสองจึงได้วางแผนอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม โดยเริ่มจากการชักชวนให้ผู้เสียหายนั่งรถไปด้วยกัน
การหลอกลวงด้วยกลยุทธ์ที่แยบยล
คนร้ายทั้งสองใช้วิธีการพูดจาไพเราะและแสดงความเป็นมิตรอย่างฉลาด พวกเขาตีสนิทกับผู้เสียหายระหว่างการเดินทาง และแสดงความเอาใจใส่อย่างมากมาย จนทำให้ผู้เสียหายเกิดความไว้วางใจ โดยอาสาพาไปทำธุระต่างๆ จนแล้วเสร็จ ทำให้ผู้เสียหายไม่มีความสงสัยใดๆ ในตัวของคนร้าย
วิธีการดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมีประสบการณ์และความชำนาญของคนร้ายในการหลอกลวงผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ง่ายต่อการหลอกลวงเนื่องจากมีความไว้เนื้อเชื่อใจผู้อื่นสูง และมักจะมีทรัพย์สินติดตัวเป็นจำนวนมาก
การดำเนินการอันโหดร้าย
เมื่อเสร็จสิ้นการทำธุระแล้ว ในช่วงการเดินทางกลับ คนร้ายทั้งสองได้เริ่มแสดงตัวตนที่แท้จริง พวกเขาออกอุบายขับรถพาผู้เสียหายออกนอกเส้นทางปกติ เมื่อมาถึงจุดที่เหมาะสม และมั่นใจว่าไม่มีใครมาช่วยเหลือได้ คนร้ายทั้งสองจึงเริ่มลงมือทำร้ายร่างกายของผู้เสียหาย
การกระทำที่โหดร้ายยิ่งขึ้นคือการใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย เพื่อบังคับให้ยอมมอบทรัพย์สินที่มีค่า โดยคนร้ายได้ดึงเอาสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 1 เส้น, จี้สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 อัน, แหวนทองคำหนัก 1 สลึง จำนวน 1 วง รวมถึงเงินสดจำนวน 12,000 บาท และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง
ทรัพย์สินที่ถูกชิงมูลค่ากว่า 3 แสนบาท
เมื่อรวมทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกชิงไป พบว่ามีมูลค่ารวมกว่า 3 แสนบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับผู้สูงอายุคนหนึ่ง และอาจเป็นเงินออมที่สะสมมาตลอดชีวิต หรือเงินที่เตรียมไว้สำหรับการใช้จ่ายในยามเจ็บป่วย ทำให้การกระทำของคนร้ายยิ่งมีความโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากขึ้น
นอกจากการสูญเสียทรัพย์สินแล้ว ผู้เสียหายยังต้องเผชิญกับการบาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจที่อาจติดตามไปตลอดชีวิต การถูกทำร้ายโดยผู้ที่เคยไว้วางใจนั้นสร้างความเจ็บปวดทั้งกายและใจที่ไม่อาจวัดค่าได้ด้วยตัวเลข
การพยายามฆ่าหลักฐาน
หลังจากชิงทรัพย์สินเสร็จแล้ว คนร้ายทั้งสองยังไม่หยุดการกระทำที่โหดร้าย พวกเขาได้ใช้เชือกมัดมือของผู้เสียหายเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้สามารถขอความช่วยเหลือหรือหลบหนีได้ จากนั้นจึงขับรถพาผู้เสียหายไปยังสระน้ำสาธารณะ ตำบลก้านเหลือง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
เมื่อมาถึงสระน้ำแล้ว คนร้ายได้ถีบผู้เสียหายตกจากรถลงไปในสระน้ำดังกล่าว ด้วยเจตนาที่จะกำจัดหลักฐานและพยานที่สำคัญ การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงความไร้มนุษยธรรมอย่างสิ้นเชิง เพราะคนร้ายไม่เพียงแต่ต้องการทรัพย์สิน แต่ยังพยายามจะคร่าชีวิตของผู้เสียหายด้วย
การช่วยเหลือจากพลเมืองดี
โชคดีที่มีพลเมืองดีเดินทางผ่านมาพบเห็นเหตุการณ์ และได้เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายเอาไว้ได้ทันท่วงที หากไม่มีการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีนี้ ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่านี้มาก การกระทำของพลเมืองดีท่านนี้ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของการมีจิตสาธารณะและความเมื่อมเหมยต่อเพื่อนมนุษย์
หลังจากได้รับการช่วยเหลือแล้ว พลเมืองดีได้นำผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรนางรอง เพื่อดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป การแจ้งความอย่างรวดเร็วนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถเริ่มการสืบสวนและติดตามคนร้ายได้โดยเร็ว
กระบวนการสืบสวนและออกหมายจับ
เมื่อได้รับแจ้งความแล้ว พนักงานสอบสวนได้เริ่มดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละเอียดและรอบคอบ ทั้งการซักถามพยาน การตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทาง และการรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ
จากการสืบสวนที่ละเอียดถี่ถ้วน พนักงานสอบสวนได้นำหลักฐานที่รวบรวมได้เสนอต่อศาลจังหวัดนางรอง เพื่อขอออกหมายจับคนร้ายทั้งสองคน ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหลักฐานมีความน่าเชื่อถือ จึงได้ออกหมายจับสำหรับคนร้ายทั้งสองคน
การจับกุมคนร้ายคนแรก
ในขั้นตอนการติดตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สามารถติดตามและจับกุม นางสมพร ผู้ต้องหาคนแรกไว้ได้เป็นผลสำเร็จ การจับกุมนี้เป็นก้าวสำคัญในการดำเนินคดี เพราะทำให้เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์และผู้ต้องหาอีกคน
อย่างไรก็ตาม นางวราพรรณ ผู้ต้องหาอีกคนยังคงหลบหนีการติดตามของเจ้าหน้าที่อยู่ ทำให้ตำรวจต้องประกาศเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับปฏิทิน 2568 ลำดับที่ 67 และดำเนินการติดตามอย่างต่อเนื่อง
การติดตามและจับกุมผู้ต้องหาคนสุดท้าย
การติดตามผู้ต้องหาคนสุดท้ายใช้เวลากว่า 4 เดือน โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้ความพยายามและทักษะการสืบสวนอย่างมาก เนื่องจากผู้ต้องหาได้หลบหนีไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด และพยายามปกปิดตัวตนอย่างดี
ในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็สามารถติดตามและพบตัวผู้ต้องหาได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ การจับกุมครั้งนี้เป็นผลมาจากการทำงานอย่างมีระบบและการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ
การสอบสวนเบื้องต้น
หลังจากการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสอบสวนเบื้องต้นกับผู้ต้องหา อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และไม่ยอมรับการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
ทั้งนี้ การปฏิเสธของผู้ต้องหาไม่ได้ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีหลักฐานที่เพียงพอและน่าเชื่อถือแล้ว การดำเนินคดีจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของศาลต่อไป
ประวัติอาชญากรรมของผู้ต้องหา
จากการตรวจสอบประวัติของนางวราพรรณ พบว่าไม่ใช่การกระทำผิดครั้งแรก เธอเคยมีประวัติการร่วมแก๊งต้มตุ๋นมาก่อน โดยใช้วิธีการปลอมเป็นพระ และหลอกลวงชาวบ้าน ด้วยการทำพิธีให้เลขเด็ด และเก็บค่ายกครูหลักหมื่นบาทที่จังหวัดเพชรบูรณ์
ข