รวบพ่อเลี้ยงหื่น ขืนใจลูกตั้งแต่ ป.5 จนตั้งท้องมีลูกอายุ 4 ขวบ ซ้ำจะไปละเมิดน้องคนเล็กอายุ 14 ปี

ข่าวอาชญากรรม ภัยสังคม สมุทรสงคราม

เหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมชายวัย 33 ปี หลังถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศบุตรเลี้ยงสองคนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเหยื่อรายแรกถูกล่วงละเมิดตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี จนกระทั่งตั้งครรภ์และมีบุตรที่ปัจจุบันอายุ 4 ขวบ ขณะที่ยังพยายามล่วงละเมิดน้องสาวคนเล็กซึ่งมีอายุเพียง 14 ปี ทั้งนี้ มารดาของเหยื่อทั้งสองกลับเพิกเฉยต่อสถานการณ์และเลือกที่จะปกป้องสามีใหม่แทนบุตรสาวของตนเอง

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 คุณชลิดา พะละมาตย์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเด็กและสตรี ได้พาผู้เสียหายสามคนเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรลาดใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ประกอบด้วย น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นพี่สาวคนโตและมีฐานะเป็นผู้ปกครอง น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 20 ปี ผู้เสียหายรายแรก และ ด.ญ.ซี (นามสมมติ) อายุ 14 ปี ผู้เสียหายรายที่สอง

หลังจากรับแจ้งความ พล.ต.ต.สมภพ คูหาวิชานันท์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วย พ.ต.ท.วงศ์วริศ ครูทอง สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรลาดใหญ่ ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน ร่วมกับเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสงคราม และบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรสงคราม ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยละเอียด

ชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรลาดใหญ่ได้ลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาคือนายทักษิณ (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นสามีใหม่ของมารดาผู้เสียหาย แต่ในช่วงแรกไม่พบตัวผู้ต้องหาในที่เกิดเหตุ

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันโหดร้าย

จากคำให้การของผู้เสียหาย เรื่องราวได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 9 ปีที่แล้ว ขณะที่ น.ส.บี อายุเพียง 11 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มารดาของเธอได้พาไปอาศัยอยู่ที่ไซต์ก่อสร้างแห่งหนึ่งพร้อมกับสามีใหม่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการล่วงละเมิดทางเพศที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง

นายทักษิณมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศต่อ น.ส.บี โดยอ้างว่าจะ “ถ่ายทอดพลังกิเลนไฟ” ให้ บังคับให้เธอถอดเสื้อผ้าเมื่ออยู่กันตามลำพัง พร้อมทั้งข่มขู่ว่าหากบอกใครจะเกิดอันตรายต่อมารดาและน้องสาว นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมลวนลามด้วยการเข้ามากอดผู้เสียหายในยามค่ำคืน

เมื่อ น.ส.บี พยายามบอกเล่าเหตุการณ์ให้มารดาทราบ มารดากลับแนะนำให้เรียกนายทักษิณว่า “พ่อ” เพื่อความปลอดภัย แทนที่จะปกป้องบุตรสาวของตน

การหลบหนีและการกลับมาเผชิญหน้ากับความเลวร้าย

ด้วยความหวาดกลัวและไม่มีทางออก น.ส.บี จึงตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่กรุงเทพมหานครกับเพื่อน และต่อมาได้ย้ายไปอยู่กับลุง จนกระทั่งเรียนจบ แม้มารดาจะให้สัญญาว่าจะส่งเงินช่วยเหลือ แต่ก็ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย

ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา น.ส.บี ได้กลับไปอยู่กับมารดาและนายทักษิณอีกครั้ง ทันทีที่กลับไป พฤติกรรมคุกคามทางเพศก็เริ่มขึ้นใหม่ นายทักษิณเริ่มพูดจาคุกคามทางเพศ สอบถามเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ และพยายามลวนลามผู้เสียหายเมื่อไม่มีใครอยู่ด้วย พร้อมทั้งเสนอว่าจะช่วยเคลียร์หนี้สินให้หากยอมมีความสัมพันธ์ด้วย

การเปิดเผยความจริงอันน่าสะเทือนใจ

ระหว่างที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน น.ส.บี ได้ค้นพบความจริงอันน่าตกใจว่า นายทักษิณได้ล่วงละเมิดน้องสาวของเธอ (น.ส.บี) มาตั้งแต่อายุ 11 ปี ขณะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จนกระทั่งน้องสาวตั้งครรภ์ในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ถึงมหาวิทยาลัยปีที่ 1

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ มารดาของทั้งสองได้เลือกที่จะปิดบังความจริงโดยอ้างว่าบุตรสาวตั้งครรภ์กับแฟนเก่า และพยายามบังคับให้ยุติความสัมพันธ์กับชายคนดังกล่าว ทั้งที่รู้ดีว่าบุตรในครรภ์เป็นลูกของใคร

น้องสาวของ น.ส.บี ยังคงถูกคุกคามและทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่อง จนไม่กล้าบอกมารดาเพราะความหวาดกลัว น.ส.บี ยังพบอีกว่านายทักษิณพยายามล่วงละเมิดน้องสาวคนเล็ก ด.ญ.ซี ซึ่งมีอายุเพียง 14 ปี ในรูปแบบเดียวกัน

เมื่อ น.ส.บี พยายามนำเรื่องนี้ไปบอกมารดา มารดากลับลังเลที่จะทิ้งสามีใหม่ ด้วยความห่วงใยในความปลอดภัยของน้องสาวทั้งสอง น.ส.บี จึงตัดสินใจพาน้องย้ายมาอยู่กรุงเทพมหานคร แม้มารดาจะรับปากว่าจะตามมาในตอนแรก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจโดยอ้างเหตุผลเรื่องภาระหนี้สินกับสามีใหม่และปัญหาทางการเงิน

คำให้การของญาติผู้ต้องหา

น.ส.บังอร (นามสมมติ) อายุ 62 ปี มารดาของนายทักษิณ ได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า เธอทราบว่าเด็กไปคลอดบุตร จึงได้สอบถามว่า “ท้อง 9 เดือนกูเพิ่งจะรู้ มึงไปท้องกับใครมา” ซึ่งเด็กบอกว่าพ่อของเด็กหนีไปแล้ว

น.ส.บังอร ยังกล่าวว่า “ดีนะที่ไม่ท้องกับลูกชายตน ถ้าท้องกับลูกชายตน ไม่ให้อยู่บ้านให้ขนของออกไปเลย” และตั้งคำถามว่า “ถ้าเด็กมันไม่ยอมตนอยู่ตรงนี้ ทำไมมันไม่ร้อง อยู่กันจนมีลูก 3 ขวบ ทำไมไม่ร้อง”

น.ส.บังอร ยังแสดงความเห็นว่าสาเหตุที่มีการร้องเรียนในครั้งนี้อาจเกิดจากการที่ลูกชายของเธอไม่จ่ายค่าเช่าห้องที่เคยจ่ายเป็นประจำ และอีกสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้เสียหายมีอาการหึงหวงพ่อเลี้ยงกับมารดา

คำให้การของพี่สาวคนโต

น.ส.เอ อายุ 26 ปี พี่สาวคนโตซึ่งมีฐานะเป็นผู้ปกครองในปัจจุบัน เล่าว่าเมื่อ 15 ปีก่อน เธอเองก็เคยถูกนายทักษิณลวนลาม ทั้งการเข้ามานอนกอด และถามเรื่องส่วนตัว เธอรู้อยู่แล้วว่านายทักษิณมีความคิดไม่ดี จึงตัดสินใจออกจากบ้านไปเรียนที่กรุงเทพมหานคร

น.ส.เอ เพิ่งทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดน้องสาวเมื่อ 5 วันก่อนเท่านั้น เมื่อทราบเรื่องแล้ว เธอจึงได้คุยกับมารดาว่าจะพาน้องสาวมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่นายทักษิณกลับอ้างว่า “คนมันชอบไปแล้วจะห้ามความรู้สึกได้อย่างไร”

น.ส.เอ ยืนยันว่านายทักษิณได้ล่วงละเมิดน้องสาวของเธอมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จนกระทั่งน้องตั้งครรภ์ในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ถึงมหาวิทยาลัยปีที่ 1 แต่มารดาเลือกที่จะปิดบังความจริงโดยอ้างว่าน้องตั้งครรภ์กับแฟนเก่า ทั้งที่รู้ดีว่าบุตรในครรภ์เป็นลูกของใคร น้องสาวคนกลางยอมที่จะถูกล่วงละเมิดเพียงคนเดียว เพื่อไม่ให้น้องคนเล็กต้องประสบชะตากรรมเดียวกัน

น.ส.เอ กล่าวว่า แม้มารดาจะรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เธอจึงตัดสินใจพาน้องสาวมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร และหากมารดาไม่ต่อสู้เพื่อบุตร เธอจะดำเนินการเอง แม้สภาพจิตใจจะย่ำแย่ แต่ก็ต้องสู้เพราะมีชีวิตอีกสามชีวิตที่ต้องดูแล

“ฉันรู้สึกเจ็บปวดมาก เพราะน้องเคยพูดว่าถ้าเลือกได้อยากเป็นคนที่ถูกทิ้ง และถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คนที่ถูกล่วงละเมิดก็จะเป็นฉัน ไม่ใช่น้อง” น.ส.เอ กล่าวด้วยน้ำตา “ฉันรักแม่ แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าแม่จะโกรธฉันก็เป็นปัญหาของแม่ ฉันต้องปกป้องน้อง”

การเข้ามาช่วยเหลือของนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเด็กและสตรี

คุณชลิดา “ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง” พะละมาตย์ กล่าวว่า เธอได้รับการร้องเรียนผ่านเพจของเธอ จึงเข้ามาตรวจสอบและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“ที่ผ่านมาพ่อเลี้ยงมีพฤติกรรมที่จะเคลมทั้งหมดในบ้าน ทั้งแม่และลูกสาวอีกสามคน น้องเคยบอกแม่แต่แม่ก็ไม่เชื่อ” คุณชลิดากล่าว “เมื่อฉันทราบเรื่อง ฉันได้ติดต่อไปทางแม่เพื่อสอบถามว่าจะเลือกอยู่กับใคร สุดท้ายแม่ก็บอกว่าต้องใช้หนี้สินร่วมกับสามีใหม่ ปล่อยให้ลูกเผชิญชะตากรรมอยู่กันเอง ฉันจึงพูดคุยกับผู้เสียหายว่าจะต้องดำเนินการกับผู้กระทำผิด จึงพามาแจ้งความในวันนี้”

คุณชลิดาได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าสภาพบ้านไม่มีความมิดชิด ไม่ปลอดภัยสำหรับพ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยง เป็นพื้นที่ของวัดที่ไม่สามารถปรับปรุงอะไรได้ ปัจจุบัน น.ส.บี อายุ 20 ปี ที่มีบุตรอายุ 4 ขวบ และ ด.ญ.ซี อายุ 14 ปี ได้เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองของบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดสมุทรสงคราม

การจับกุมผู้ต้องหา

เวลาประมาณ 18.00 น. ของวันเดียวกัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลจังหวัดสมุทรสงครามออกหมายจับนายทักษิณ เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวผู้ต้องหามาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรลาดใหญ่ได้สำเร็จ

เมื่อมาถึง ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายทักษิณว่ากระทำผิดจริงหรือไม่ แต่ผู้ต้องหาปิดปากเงียบไม่ยอมพูด ได้แต่พยักหน้า ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าหมายถึงอะไรกันแน่ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะพาตัวเข้าห้องขังเพื่อรวบรวมเอกสารและสอบปากคำต่อไป

จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหายังไม่ยอมให้การใดๆ เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหา “ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี” และจะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานนิติวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม หากพบว่ามีความผิดเพิ่มเติม ก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มต่อไป

การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์

คุณชลิดากล่าวว่า หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการตรวจดีเอ็นเอของเด็กอายุ 4 ขวบ จะเป็นเครื่องยืนยันความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเด็กกับผู้ต้องหา ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดี

“ที่ผ่านมาแม่ทราบเรื่องมาโดยตลอด แต่กลับดุลูกว่าถ้าไม่เลิกกันจะตัดแม่ตัดลูก ซึ่งไม่ควรมีคำพูดเช่นนี้” คุณชลิดากล่าว “ที่ถูกต้อง แม่ควรบอกกับผู้ชายว่า ‘ถ้ามึงไม่เลิกยุ่งกับลูกกู มึงออกไปจากชีวิตกู’ แต่ความจริงคือ เด็กจะสมยอมได้อย่างไร สถานการณ์บังคับให้เด็กไม่มีทางเลือก เด็กจะออกไปอยู่กับใคร”

ผลกระทบทางจิตใจต่อผู้เสียหาย

คุณชลิดายังเปิดเผยว่า ผู้เสียหายทั้งสามคน โดยเฉพาะพี่สาวคนโต มีสภาพจิตใจที่แย่มาก ทั้งสามคนกอดกันร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีกับมารดาด้วย

“เพราะถ้าไม่ดำเนินการใดๆ หากพ่อเลี้ยงคนนี้ติดคุกและแม่ไปมีสามีใหม่ แล้วสามีใหม่มากระทำกับลูกของแม่อีก แม่ก็จะมองว่ากฎหมายทำอะไรไม่ได้ และปล่อยเรื่องไปเพราะต้องการอยู่กับผู้ชายคนนั้น” คุณชลิดาอธิบาย

ความคืบหน้าของคดี

ขณะนี้ ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจภูธรลาดใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ส่วนผู้เสียหายทั้งสองคนได้รับการดูแลจากบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดสมุทรสงคราม

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กำลังตรวจสอบประเด็นการละเลยหน้าที่ของมารดาผู้เสียหาย ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดฐานละเลยทอดทิ้งเด็กในอุปการะ ซึ่งอาจมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัวให้ความเห็นว่า กรณีเช่นนี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการทางจิตใจของเด็กในระยะยาว ผู้เสียหายจำเป็นต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูทางจิตใจอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ในขณะเดียวกัน นักสังคมสงเคราะห์ระบุว่า ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในครอบครัวยังคงเป็นปัญหาที่ซ่อนเร้นในสังคมไทย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถูกกระทำไม่กล้าเปิดเผยข้อมูล หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวเองก็เลือกที่จะปกปิดเรื่องราวเพราะกลัวเสียชื่อเสียงหรือเกรงกลัวอิทธิพลของผู้กระทำผิด

มาตรการป้องกันและให้ความช่วยเหลือ

กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในเด็ก และช่องทางการขอความช่วยเหลือเมื่อพบเห็นหรือตกเป็นเหยื่อ

ประชาชนสามารถแจ้งเหตุการล่วงละเมิดเด็กและสตรีได้ที่สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อบ้านพักเด็กและครอบครัวในแต่ละจังหวัด รวมถึงสถานีตำรวจใกล้บ้าน เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

กรณีนี้ถือเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในครอบครัว โดยเฉพาะในกรณีที่มีบุคคลแปลกหน้าเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว ทุกฝ่ายจำเป็นต้องร่วมมือกันสอดส่องดูแลและปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยร้ายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน