การจากไปของ “เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร” พระเอกชื่อดังยุค 80 ในวัย 72 ปี จากอาการหัวใจขาดเลือด ได้สร้างความตระหนักใหม่เกี่ยวกับโรคหัวใจที่อันตรายแต่ส่วนใหญ่คนมักมองข้าม นพ.วีรพันธ์ สุวรรณนามัย หรือ “หมอวี” ศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมาถอดบทเรียนสำคัญและให้ความรู้เกี่ยวกับอาการเตือนของโรคหัวใจขาดเลือดที่ทุกคนควรรู้
เหตุการณ์ที่สะเทือนวงการบันเทิงไทยเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อ “เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร” นักแสดงชื่อดังยุค 80 เดินทางไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เขาได้เข้าพักที่โรงแรมเซนเตอร์พอยท์ ในศูนย์การค้าเทอมินอล 21 โคราช
ระหว่างที่พักอยู่ที่โรงแรม เอ๋ ไพโรจน์ ได้รู้สึกแน่นหน้าอกและมีอาการช็อกจนหมดสติ เพื่อนที่อยู่ด้วยจึงรีบแจ้งให้รถกู้ชีพของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมามารับ ทีมแพทย์ได้ทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตและรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที แต่ด้วยความรุนแรงของอาการ ในที่สุดเขาก็เสียชีวิตด้วยวัย 72 ปี
หมอวีถอดบทเรียนสำคัญ
นพ.วีรพันธ์ สุวรรณนามัย หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันดีในนาม “หมอวี” ศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมาให้ความรู้และถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรู้จักอาการเตือนของโรคหัวใจขาดเลือด
หมอวีอธิบายว่า “โรคหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก หรือเสียชีวิตแบบฉุกเฉินได้ เพราะเมื่อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจจะตายและทำให้เกิดอาการที่อันตรายถึงชีวิตได้”
การที่หมอวีออกมาให้ความรู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เป็นการส่งต่อความรู้ที่สำคัญที่อาจช่วยชีวิตคนได้มากมาย เพราะโรคหัวใจขาดเลือดเป็นโรคที่ถ้าได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะมีโอกาสรอดชีวิตได้สูง
อาการเตือนที่ต้องระวัง
หมอวีได้ให้รายละเอียดของอาการเตือนที่ทุกคนควรรู้และไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอาการแน่นหน้าอกที่หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเป็นกรดไหลย้อน
อาการแน่นหน้าอกที่ไม่ใช่กรดไหลย้อน
อาการหลักที่ต้องระวังคือการรู้สึกแน่นหน้าอก โดยเฉพาะการรู้สึกเหมือนมีสิ่งของหนักๆ มากดทับ อาการนี้จะเด่นชัดเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะที่เหนื่อย เครียด หรือหลังจากออกกำลังกาย ซึ่งแตกต่างจากอาการกรดไหลย้อนที่เกิดจากการรับประทานอาหาร
หมอวีเน้นว่า “ถ้าเกิดรู้สึกแน่นเหมือนมีอะไรหนักๆ มากดทับ โดยเฉพาะแน่นเวลาที่เหนื่อย เครียด หรือไปออกกำลังกายมา อันนั้นไม่ใช่กรดไหลย้อน ต้องระมัดระวังให้ดี”
อาการแปลงแปลงไปสู่ส่วนอื่นของร่างกาย
นอกจากอาการแน่นหน้าอกแล้ว อาการของโรคหัวใจขาดเลือดยังสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ โดยเฉพาะ:
- อาการแน่นหรือเจ็บร้าวไปถึงด้านซ้ายของคอ
- อาการเจ็บบริเวณกราม
- อาการเจ็บแพร่กระจายไปที่ไหล่
อาการแสดงอื่นๆ ที่สำคัญ
อาการประกอบอื่นๆ ที่ควรสังเกต ได้แก่:
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- หน้ามืดหรือรู้สึกเวียนหัว
- ใจสั่นหรือใจเต้นผิดปกติ
- หายใจไม่ออกอย่างฉับพลัน
หมอวีเตือนว่า “ถ้าอาการ 4-5 อย่างที่ผมบอกเกิดขึ้นพร้อมกัน ให้รีบโทรหา 1669 ทันที อย่ารอนาน ไม่ต้องรอดูอาการนาน”
กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
หมอวีได้เน้นเป็นพิเศษถึงกลุ่มคนที่มีประวัติโรคหัวใจมาก่อน โดยระบุว่า “ยิ่งโดยเฉพาะถ้าใครเคยตรวจเป็นโรคหัวใจมาก่อน อาการนี้คือโรคหัวใจขาดเลือดแน่นอน”
กลุ่มเสี่ยงสูงที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:
ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจ คนที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจอื่นๆ
ผู้สูงอายุ ตามกรณีของ เอ๋ ไพโรจน์ ที่เสียชีวิตในวัย 72 ปี แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงกว่าวัยอื่น
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ มีโรคเบาหวาน มีระดับคอเลสเตอรอลสูง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
การรักษาและการช่วยเหลือเบื้องต้น
หมอวีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของเวลาในการรักษาโรคหัวใจขาดเลือด โดยกล่าวว่า “โรคนี้ถ้าถึงโรงพยาบาลเร็ว เขาจะสวนสายเอา จะใช้ที่ขูดหลอดเลือดเอาออกได้ มีโอกาสรอดชีวิตได้เยอะเลย”
การรักษาด้วยเทคนิคการสวนสาย
เทคนิคการสวนสายหรือ Angioplasty เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับโรคหัวใจขาดเลือด โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษเข้าไปขูดหรือเปิดหลอดเลือดที่ตีบหรือตันกลับให้เลือดไหลเวียนได้ปกติ
ความสำเร็จของการรักษานี้ขึ้นอยู่กับเวลาที่ผู้ป่วยได้รับการรักษา ยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสรอดชีวิตและฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติจะยิ่งสูงเท่านั้น
การโทร 1669 คือจุดเริ่มต้นของการช่วยชีวิต
การโทรหาหมายเลข 1669 เมื่อพบอาการเตือนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะทีมกู้ชีพสามารถให้การรักษาเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการประสานงานกับโรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมในการรักษา
สถิติและความสำคัญของปัญหา
โรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทยและทั่วโลก สถิติแสดงให้เห็นว่าทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจจำนวนมาก โดยหลายกรณีเป็นการเสียชีวิตแบบฉุกเฉินที่สามารถป้องกันได้หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันเวลา
ปัจจัยที่ทำให้โรคหัวใจเป็นปัญหาใหญ่
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคหัวใจเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ได้แก่:
- การขาดความรู้เกี่ยวกับอาการเตือน
- การเข้าใจผิดระหว่างอาการโรคหัวใจกับโรคอื่น
- การไม่ให้ความสำคัญกับอาการเตือนในระยะแรก
- การขาดการตรวจสุขภาพประจำปี
- วิถีชีวิตที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพหัวใจ
การป้องกันและการดูแลสุขภาพหัวใจ
นอกจากการรู้จักอาการเตือนแล้ว การป้องกันโรคหัวใจก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยมีแนวทางการดูแลดังนี้:
การควบคุมปัจจัยเสี่ยง
- เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่มือสอง
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอตามความเหมาะสม
- ควบคุมความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ
การตรวจสุขภาพประจำปี
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการตรวจระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต น้ำตาลในเลือด และการทำ ECG เพื่อตรวจสภาพหัวใจ
ข้อเสนอแนะสำหรับประชาชน
จากบทเรียนที่ได้จากกรณีของ เอ๋ ไพโรจน์ และคำแนะนำของหมอวี ประชาชนควร:
เรียนรู้และจำอาการเตือน ทุกคนควรรู้จักอาการเตือนของโรคหัวใจขาดเลือดและสามารถแยกแยะได้ว่าอาการใดที่ต้องรีบไปพบแพทย์
ไม่ชะล่าใจกับอาการผิดปกติ เมื่อมีอาการแน่นหน้าอก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการประกอบอื่นๆ ไม่ควรเพิกเฉยหรือคิดว่าเป็นเพียงกรดไหลย้อน
เตรียมความพร้อมในการขอความช่วยเหลือ ควรรู้จักหมายเลข 1669 และวิธีการขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
สร้างความตระหนักในครอบครัว ควรแบ่งปันความรู้นี้กับสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
บทสรุป
การจากไปของ “เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร” เป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคหัวใจขาดเลือด คำแนะนำของหมอวีไม่ได้เป็นเพียงการวิเคราะห์เหตุการณ์ แต่เป็นการส่งต่อความรู้ที่อาจช่วยชีวิตคนได้มากมาย
สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จักอาการเตือน การไม่ชะล่าใจกับอาการผิดปกติ และการขอความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วเมื่อจำเป็น เพราะในกรณีของโรคหัวใจขาดเลือด เวลาคือชีวิต การได้รับการรักษาเร็วจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตและฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้สูง
การดูแลสุขภาพหัวใจไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม และการมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคหัวใจเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เศร้าเช่นนี้เกิดขึ้นกับคนที่เรารักอีก
ท้ายที่สุด การที่หมอวีออกมาให้ความรู้ในครั้งนี้เป็นการกระทำที่สร้างประโยชน์อย่างมากต่อสังคม และหวังว่าความรู้นี้จะช่วยให้ประชาชนมีความตระหนักมากขึ้นในการดูแลสุขภาพหัวใจของตนเองและคนในครอบครัว