นายกฯ แพทองธาร แถลงในรายการพิเศษ พร้อมรับมือวิกฤตหลายด้าน
วันที่ 4 พฤษภาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ปรากฏตัวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษ สร้างโอกาสในวิกฤต สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักลงทุน ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ โดยมีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไข โดยเฉพาะการเตรียมรับมือกับกำแพงภาษีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งยืนยันว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody’s ไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยแต่อย่างใด
รัฐบาลวางแผนรับมือกำแพงภาษีสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีแพทองธารเปิดเผยว่า รัฐบาลไทยได้เตรียมความพร้อมอย่างเข้มข้นในการรับมือกับมาตรการกำแพงภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกหลายรายการของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของประเทศ
“รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ เรากำลังเจรจากับทางสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง และได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในทุกช่องทาง เพื่อชี้แจงและหาทางออกร่วมกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นอกจากนี้ ยังได้เตรียมแผนรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยการเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ทดแทน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับปรุงมาตรฐานการผลิตและการค้าให้สอดคล้องกับข้อกำหนดระหว่างประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าในอนาคต
ยืนยัน มูดีส์ไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย
นายกรัฐมนตรียังได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่มีข่าวลือเกี่ยวกับการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยสถาบันจัดอันดับ Moody’s ว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง โดยยืนยันว่า Moody’s ยังคงจัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยที่ระดับ Baa1 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
“ผมขอยืนยันว่า Moody’s ไม่ได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย เราต้องระมัดระวังข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจผิดและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย ขณะนี้ฐานะการเงินการคลังของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่มั่นคง แม้จะมีความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกก็ตาม” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้วางแผนในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยด้วยการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนและต่อเนื่อง มุ่งเน้นการกระตุ้นการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง
การรับมือแผ่นดินไหวครั้งแรกของไทย
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงบทเรียนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างจริงจัง โดยในขณะนั้นตนเองอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต และได้สั่งปิดการประชุมทันทีเพื่อเปิดประชุมด่วนผ่านระบบ Zoom กับผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
“ต้องยอมรับว่าไทยยังไม่เคยรับมือกับสถานการณ์แผ่นดินไหวอย่างจริงจังมาก่อน จึงต้องให้ความรู้ในการรับมือกับสถานการณ์” นายกรัฐมนตรีกล่าว และเล่าต่อว่าได้ประสานงานกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกรุงเทพมหานคร รวมถึงส่วนราชการสำคัญทั้งกระทรวงมหาดไทยและกองทัพ โดยได้สั่งการให้กองทัพอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน และเร่งนำประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีเผยว่าได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือเรื่องการส่ง SMS แจ้งเตือนภัย เนื่องจากพบว่าในวันเกิดเหตุแผ่นดินไหว ระบบไม่สามารถส่ง SMS แจ้งเตือนประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถส่งได้เพียง 1,000 หมายเลขเท่านั้น และใช้เวลาถึง 5-6 ชั่วโมง
“เป็นเรื่องที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน โดยให้บูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดมาตรการ กระบวนการ พร้อมออกแบบข้อความ รวมถึงข้อปฏิบัติหากเกิดแผ่นดินไหว หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว โดยเน้นว่าระบบแจ้งเตือนใหม่จะต้องใช้ Cell Broadcast ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังมือถือของประชาชนในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งจะไม่ใช่เฉพาะกรณีแผ่นดินไหวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมหรือเหตุความไม่สงบด้วย
รับไม่ได้หากไม่มีคำตอบเรื่องตึก สตง. ถล่ม
นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ว่าได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการหาความจริง โดยได้หารือกับกรมโยธาธิการและผังเมืองเกี่ยวกับการจำลองเหตุการณ์จาก 4 สถาบันร่วมกับกรมโยธาธิการฯ เพื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบและหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งทั้งหมดต้องใช้เวลาประมาณ 90 วัน
“เรื่องนี้ดิฉันรับไม่ได้หากจะไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ ซึ่งได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด ได้มีการกำชับกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ถ้าในกระบวนการหากมีความผิดตั้งแต่การอนุมัติ การอนุญาต และการถูกออกแบบขึ้นมา ถ้าผิดก็ต้องถูกดำเนินคดี” นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบอาคารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าต้องการให้มีมาตรฐานที่ดีของประเทศ และอาคารที่สร้างในกรุงเทพมหานครต้องสามารถรองรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้ตามข้อกำหนดของกฎหมาย
นายกรัฐมนตรียังเล่าถึงการลงพื้นที่หลังเกิดเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม โดยได้พบกับญาติของผู้สูญหายชาวเมียนมาที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เนื่องจากกังวลว่าคนในครอบครัวหายไปในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศของตน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่ารัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคนเมียนมาหรือคนไทย
“เพราะทุกคนคือคน ต้องช่วยกันสุดความสามารถอย่างเต็มที่” นายกรัฐมนตรีกล่าว พร้อมแจ้งว่าการค้นหาผู้สูญหายยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้พบจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น และคาดว่าการเคลียร์พื้นที่จะเสร็จสิ้นภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อให้ญาติผู้เสียชีวิตสามารถนำร่างไปประกอบพิธีตามความเชื่อและศรัทธาต่อไป
เตรียมความพร้อมรับมือแผ่นดินไหวในอนาคต
นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า “หากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวอีกครั้ง ซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ แต่ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้รัฐบาลได้รองรับไว้หมดแล้วว่าจะทำอย่างไร ประชาชนต้องปฏิบัติตัวอย่างไร โดยมีขั้นตอนการแจ้งเหตุ ขั้นตอนในการเอาตัวรอดรักษาชีวิต รัฐบาลเตรียมพร้อมทั้งหมด ทุกระบบถูกจัดการถูกวางแผนไว้อย่างดีและรัดกุม”
การประชุมของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาได้มีการกำหนดแนวทางการรับมือภัยพิบัติและเหตุฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนภัย การช่วยเหลือประชาชน และการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสียและผลกระทบจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต