ดราม่าร้อนแรงในวงการอินฟลูเอนเซอร์ไทยเมื่อ “แอมมี่ กิติยา” บล็อกเกอร์ชื่อดัง เปิดใจเล่าประสบการณ์การทำงานที่ถูกเอาเปรียบจากแบรนด์ดัง จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมออนไลน์ถกเถียงกันอย่างสนั่น
เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “Amy Kitiya” หรือ แอมมี่ กิติยา อินฟลูเอนเซอร์และบล็อกเกอร์ที่มีผู้ติดตามมากมาย ได้ออกมาโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียเพื่อเล่าประสบการณ์การทำงานที่ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ โดยระบุว่า “ไม่มีบัจเจท แต่มีบรีฟให้ถ่ายเก็บผลด้วย ให้ฟีดแบ็กจะนำรูปไปใช้อีก บางทีก็เกินไป ก่อนหน้านี้ลงให้ตลอด อย่าเอาความใจดีมาเอาเปรียบสิไม่แฟร์เลย”
ข้อความดังกล่าวได้เปิดประเด็นที่หลายคนในวงการอินฟลูเอนเซอร์และการตลาดดิจิทัลรู้สึกเป็นใจ นั่นคือการที่แบรนด์บางรายพยายามขอความร่วมมือจากอินฟลูเอนเซอร์โดยไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม แต่กลับมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่หนักหนาสาหูส
แอมมี่เผยรายละเอียดเพิ่มเติม : ประสบการณ์ 14 ปีไม่เคยเจอแบบนี้
หลังจากโพสต์แรกได้รับความสนใจ แอมมี่ได้ออกมาให้รายละเอียดเพิ่มเติมใต้คอมเมนต์โพสต์ของตัวเองว่า “เป็นบล็อกเกอร์มา 14 ปี ฉันไม่เคยเจอเลยแบรนด์แบบนี้ แล้วคนตามแบรนด์หลายล้าน จะช็อก ใครเป็นคนคิดให้ ขอ ขอ ขอ ขอเอาแบบนี้ แบบนั้น ต้องถ่ายรูปฟีดแบ็ก 7-14 วัน ขอเอารูปไปใช้ต่อ งานนี้ไม่มีบัจเจท จะร้อง”
การเปิดเผยครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังและความไม่พอใจของแอมมี่ที่มีต่อแบรนด์ดังกล่าว เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “แบรนด์ใหญ่ๆ ที่อยู่ในตลาดเขาส่งของให้ ยังไม่บรีฟหนักขนาดนี้เลย บางแบรนด์ไม่มีบัจเจท ก็ส่งมาเราก็รีวิวให้นะ รีวิวฟรีมาก็เยอะแต่เจอแบรนด์นี้คือช็อก”
ประสบการณ์ 14 ปีในการเป็นบล็อกเกอร์ของแอมมี่ทำให้คำพูดของเธอมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากเธอเป็นคนที่ผ่านการทำงานกับแบรนด์ต่างๆ มามากมาย และสามารถเปรียบเทียบได้ว่าการทำงานครั้งนี้แตกต่างจากปกติอย่างไร
ชาวเน็ตแห่สืบหาตัวตน : แบรนด์ไหนกันแน่?
หลังจากที่โพสต์ของแอมมี่แพร่กระจายไปในโซเชียลมีเดีย ชาวเน็ตจำนวนมากได้แห่เข้ามาปักหลักใต้โพสต์เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะการขอคำใบ้เกี่ยวกับชื่อแบรนด์ที่เกี่ยวข้อง หลายคนแสดงความคิดเห็นว่าหากทราบชื่อแบรนด์แล้ว พวกเขาจะไม่สนับสนุนหรือซื้อสินค้าจากแบรนด์ดังกล่าว เนื่องจากมีการปฏิบัติต่อผู้ร่วมงานอย่างไม่เป็นธรรม
ความสนใจของสาธารณชนต่อเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับ Brand Ethics และการปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อผู้ร่วมงาน ไม่ใช่เพียงแค่คุณภาพของสินค้าเท่านั้น
อินฟลูเอนเซอร์รายอื่นร่วมแชร์ประสบการณ์ : ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรก
สิ่งที่ทำให้ดราม่าครั้งนี้ร้อนแรงขึ้นไปอีก คือการที่อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์รายอื่นๆ เริ่มออกมาแชร์ประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แสดงให้เห็นว่าปัญหาการถูกเอาเปรียบจากแบรนด์นั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแต่เพียงครั้งเดียว หรือกับคนเดียว
การที่มีผู้ประกอบอาชีพในสายงานเดียวกันออกมาสนับสนุนและแชร์ประสบการณ์ ทำให้เห็นภาพรวมของปัญหาในวงการมากขึ้น และสร้างแรงกดดันให้แบรนด์ต่างๆ ต้องมาทบทวนนโยบายการทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์
แอมมี่เผยคำใบ้ : แบรนด์ “L” ที่ขายของหลายร้อยล้าน
ด้วยแรงกดดันจากความสนใจของสาธารณชน แอมมี่ได้ออกมาให้คำใบ้เพิ่มเติมในโพสต์ถัดมาว่า “บล็อกเกอร์คนอื่นถามว่าแบรนด์ไหน พอบอกหลังไมค์ไปคนอื่นโดนเหมือนกัน บรีฟเน้น บอกให้ลงวันไหนแต่ไม่มีบัจเจท แล้วขอเอารูปไปใช้ด้วย โหวแบรนด์ L เราลงให้ฟรีตลอดแต่บางทีก็เกินไป”
เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “แบรนด์อื่นส่งของให้ เราลงให้เอง ถ้าเราชอบแต่ไม่ใช่บรีฟแน่น ต้องฟีดแบ็ก ให้ถ่ายรูป 7-14 วัน แล้วเอารูปไปใช้อีก คุณขาขายของหลายร้อยล้านนี่ ดิฉันเป็นบล็อกเกอร์มา 14 ปี เพิ่งเคยเจอแบบนี้”
คำใบ้ “แบรนด์ L” พร้อมกับการบรรยายว่าเป็นแบรนด์ที่มียอดขายหลายร้อยล้านบาท ทำให้ชาวเน็ตหลายคนเดาว่าน่าจะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่มีชื่อเสียงในตลาด
เป้าหมายมุ่งไปที่ Love Potion : แบรนด์ดังของหมู่วัยรุ่น
จากคำใบ้ที่แอมมี่ให้ไว้ ชาวเน็ตจำนวนมากได้หันไปสงสัยในแบรนด์ “Love Potion” ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ติดตามเทรนด์ K-Beauty และ J-Beauty
Love Potion เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นโดย ณัฐชยานันท์ สุขวัฒนพร หรือที่รู้จักกันในนาม “ซ้อก้าด” ซึ่งเป็นผู้ประกอบการหนุ่มที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและสาธารณชนมาก เนื่องจากความสำเร็จในการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางที่ตอบโจทย์คนไทยในราคาที่เข้าถึงได้
แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีสีสันสดใส มีความหลากหลาย และราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ทำให้ได้รับความนิยมจากกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว และสามารถสร้างยอดขายที่น่าประทับใจ
การตอบสนองอย่างรวดเร็ว : ซ้อก้าดออกมาขอโทษ
เมื่อการคาดเดาของชาวเน็ตเริ่มมุ่งไปที่ Love Potion มากขึ้น ณัฐชยานันท์ สุขวัฒนพร หรือ “ซ้อก้าด” CEO ของแบรนด์ ได้ตัดสินใจออกมาตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว โดยการเข้ามาแสดงความเห็นใต้คอมเมนต์ของแอมมี่โดยตรง
คำขอโทษและคำอธิบายจากซ้อก้าด
ในคำตอบที่ซ้อก้าดโพสต์ใต้คอมเมนต์ของแอมมี่ เขาได้แสดงความเสียใจและขอโทษอย่างจริงใจ โดยระบุว่า “สวัสดีค่ะพี่แอมมี่ ก้าดนะคะ ทางก้าดได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และต้องขอโทษจากใจจริงๆ แทนทีมงานทุกคนด้วยครับผม ก้าดเข้าใจดีว่าเรื่องนี้อาจทำให้พี่แอมมี่รู้สึกไม่สบายใจ”
เขายังได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ทางเรามีสินค้าที่ยังไม่ได้เปิดขาย (เป็นแพ็กเกจ TESTER ยังไม่ใช่ของจริง) อย่างคุชชั่น อายครีม และอายพาเลทตา ที่ทีมงานก้าดตั้งใจจะส่งตัว tester ไปให้พี่แอมมี่ได้ลองใช้ ซึ่งอยู่ในช่วงให้ลูกค้าและทุกๆ คนได้ลองใช้ได้มากที่สุด เพื่อเก็บฟีดแบ็กเรียลๆและนำกลับไปปรับปรุง โดยไม่ได้มีเจตนาให้ลูกค้าหรือใครใดๆ ลงสินค้าในที่ยังไม่เปิดขายหรือ tester ในสื่อ”
อธิบายเรื่องการใช้รูปภาพ
สำหรับประเด็นการขอใช้รูปภาพ ซ้อก้าดได้อธิบายว่า “ส่วนการนำรูปไปใช้ โดยปกติทางแบรนด์จะทักมาขออนุญาตซื้อรูปก่อนนำไปใช้ในทุกกรณีครับ ถ้าหากว่าทีมงานของก้าดสื่อสารประเด็นใดที่ทำให้พี่แอมมี่ไม่สบายใจหรือเข้าใจผิด ก้าดขอโทษแทนทีมงานและขอน้อมรับผิดไว้”
การอธิบายนี้แสดงให้เห็นว่าอาจมีปัญหาในการสื่อสารระหว่างทีมงานของแบรนด์กับแอมมี่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น
การยอมรับผิดและแสดงความจริงใจ
ซ้อก้าดได้แสดงความจริงใจในการยอมรับผิดและขอโทษ โดยกล่าวว่า “จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนูไม่อยากให้พี่แอมมี่รู้สึกไม่สบายใจและมองว่าเลิฟโพชั่นเป็นแบบนั้น ซึ่งหนูยังยืนยันคำเดิมครับว่าคอมเมนต์จากพี่ๆ มันมีค่าสำหรับพวกหนูเพื่อไปผลิตสิ่งดีๆ ให้ลูกค้าได้ หนูเลยอยากได้ฟีดแบ็กก่อนขายครับผม แต่ทางทีมงานอาจจะขอมากไปและสื่อสารไม่ครบถ้วน หนูขอโทษพี่แอมมี่จากใจจริงๆ ครับ”
การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่าปัญหาหลักอาจเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
ปัญหาการสื่อสาร : การที่ทีมงานของแบรนด์อาจไม่ได้อธิบายรายละเอียดและเงื่อนไขให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างสองฝ่าย
ความแตกต่างของมุมมอง : แบรนด์อาจมองว่าการส่งผลิตภัณฑ์ตัวอย่างให้ทดลองใช้เป็นการให้โอกาสที่ดี ในขณะที่อินฟลูเอนเซอร์มองว่าเป็นการทำงานที่ต้องมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม
ปัญหาความคาดหวัง : การที่แต่ละฝ่ายมีความคาดหวังที่แตกต่างกันเกี่ยวกับขอบเขตของการทำงาน ค่าตอบแทน และผลผลิตที่คาดหวัง
ผลกระทบต่อวงการอินฟลูเอนเซอร์และการตลาดดิจิทัล
เหตุการณ์นี้ได้สร้างผลกระทบที่สำคัญต่อวงการอินฟลูเอนเซอร์และการตลาดดิจิทัลในประเทศไทย ดังนี้
การตื่นตัวของอินฟลูเอนเซอร์ : หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับการตั้งเงื่อนไขการทำงานที่ชัดเจนมากขึ้น และไม่ยอมรับงานที่ไม่เป็นธรรม
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของแบรนด์ : แบรนด์ต่างๆ เริ่มทบทวนนโยบายการทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อห避ไม่ให้เกิดปัญหาคล้ายกัน
ความสำคัญของการสื่อสารที่ชัดเจน : เหตุการณ์นี้เน้นย้ำความสำคัญของการสื่อสารที่ชัดเจนและโปร่งใสในการทำงานร่วมกัน
บทเรียนสำหรับวงการ
จากดราม่าครั้งนี้ มีบทเรียนสำคัญหลายประการที่ทั้งแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ควรนำไปปรับใช้
สำหรับแบรนด์ :
- ต้องมีการตั้งงบประมาณที่เหมาะสมสำหรับการทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์
- ควรสื่อสารเงื่อนไขและความคาดหวังให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
- ต้องเคารพในความเป็นมืออาชีพของอินฟลูเอนเซอร์
- ควรมีการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรมตามขอบเขตงาน
สำหรับอินฟลูเอนเซอร์ :
- ควรตั้งเงื่อนไขการทำงานที่ชัดเจนตั้งแต่แรก
- ไม่ควรยอมรับงานที่ไม่เป็นธรรมหรือเอาเปรียบ
- ควรสื่อสารความคาดหวังและข้อจำกัดให้ชัดเจน
- ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานในวงการ
การตอบสนองของสาธารณชน
ปฏิกิริยาของสาธารณชนต่อเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ
ความยุติธรรมในการทำงาน : ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับการที่แบรนด์ปฏิบัติต่อผู้ร่วมงานอย่างเป็นธรรม
ความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ : ความต้องการให้แบรนด์มีความโปร่งใสและรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
พลังของโซเชียลมีเดีย : การที่เรื่องราวสามารถแพร่กระจายและสร้างแรงกดดันให้แบรนด์ต้องตอบสนองอย่างรวดเร็ว
แนวโน้มในอนาคตของวงการ
จากเหตุการณ์นี้ คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในวงการอินฟลูเอนเซอร์และการตลาดดิจิทัลในอนาคต ดังนี้
การพัฒนามาตรฐานวงการ : อาจมีการจัดทำมาตรฐานหรือแนวทางสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์
การใช้สัญญาที่ชัดเจนมากขึ้น : ทั้งสองฝ่ายอาจเริ่มใช้สัญญาหรือข้อตกลงที่มีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น
การเสริมสร้างความรู้ : อาจมีการจัดอบรมหรือให้ความรู้แก่ทั้งแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่าย
ความสำคัญของเหตุการณ์นี้ต่อสังคม
เหตุการณ์นี้มีความสำคัญไม่เพียงแค่ในวงการอินฟลูเอนเซอร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงประเด็นสำคัญของสังคมไทยในยุคดิจิทัล
สิทธิของผู้ประกอบอาชีพอิสระ : การเรียกร้องสิทธิที่เป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระในยุคดิจิทัล
พลังของโซเชียลมีเดียในการสร้างการเปลี่ยนแปลง : การที่โซเชียลมีเดียสามารถเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องความยุติธรรม
ความสำคัญของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ : การที่การสื่อสารที่ดีสามารถป้องกันปัญหาและสร้างความเข้าใจระหว่างกัน
บทสรุป : บทเรียนสำหรับทุกฝ่าย
ดราม่าระหว่าง “แอมมี่” และ “Love Potion” นี้ ได้กลายเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกฝ่ายในวงการอินฟลูเอนเซอร์และการตลาดดิจิทัล การที่ซ้อก้าดออกมาขอโทษและชี้แจงอย่างรวดเร็วและจริงใจ แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและความพร้อมในการปรับปรุงแก้ไข
ในขณะเดียวกัน การที่แอมมี่กล้าออกมาเปิดเผยปัญหาที่เกิดขึ้น ก็เป็นการสร้างประโยชน์ให้กับวงการโดยรวม เพราะทำให้เกิดการตื่นตัวและการปรับปรุงมาตรฐานการทำงาน
เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกฝ่ายในวงการได้ทบทวนและปรับปรุงวิธีการทำงาน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความยั่งยืนในระยะยาว การที่ทั้งสองฝ่ายสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ก็เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการแก้ไขปัญหาในอนาคต
ท้ายที่สุดแล้ว วงการอินฟลูเอนเซอร์และการตลาดดิจิทัลของไทยจำเป็นต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บริโภคที่เป็นผู้รับสารและข้อมูลจากการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้