อดีตดาราดังไต้หวัน “ถังจื้อผิง” ตกอับ เร่ร่อนบนท้องถนน หลังสูญเสียคุณแม่

Exclusive ข่าวบันเทิง

สภาพที่น่าสะเทือนใจของนักแสดงชื่อดังวัย 46 ปี ที่เคยเป็นขวัญใจแฟนๆ ทั่วเอเชีย

วงการบันเทิงไต้หวันและแฟนละครเอเชียต่างตกตะลึงกับข่าวสะเทือนใจของ “ถังจื้อผิง” (Tang Zhi Ping) อดีตนักแสดงชื่อดังวัย 46 ปี ที่เคยเป็นพระเอกหน้าหวานในผลงานดังอย่าง “ปิ๊งรักสลับขั้ว” (Hana Kimi) และ “สี่มือปราบพญายม” (The Four) หลังจากที่สื่อท้องถิ่นในไทเปรายงานถึงสภาพปัจจุบันของเขาที่น่าเศร้าใจ

สภาพที่เศร้าใจ ไร้ที่อยู่อาศัยและสุขภาพทรุดโทรม

รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า ถังจื้อผิงปัจจุบันอยู่ในสภาพไร้ที่อยู่อาศัย มีรูปร่างผอมซูบจนเห็นกระดูกโครงเรียงรายชัดเจน เดินเร่ร่อนอยู่ตามท้องถนนในเขตต่างๆ ของไทเป โดยมักจะเปลือยท่อนบนหรือสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สภาพร่างกายที่เปลี่ยนไปอย่างมากทำให้แทบจำไม่ได้ว่าเคยเป็นดาราหน้าหวานที่มีแฟนคลับนับล้าน

การปรากฏตัวครั้งล่าสุดของเขาบนท้องถนนทำให้ผู้คนตกใจและเป็นห่วง บางคนพยายามถ่ายภาพและโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้ข่าวสารเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของเขาแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แม้จะมีผู้พยายามเข้าไปช่วยเหลือ แต่เขากลับปฏิเสธการช่วยเหลือจากทุกฝ่าย

พฤติกรรมที่น่ากังวล ตามรบกวนผู้หญิงหลายราย

นอกจากสภาพร่างกายที่น่าเป็นห่วงแล้ว ยังมีรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมของถังจื้อผิงที่ทำให้คนรอบข้างกังวล โดยมีพยานหลายรายรายงานว่าเขามีพฤติกรรมเดินตามผู้หญิงหลายราย ทำให้พวกเธอรู้สึกหวาดกลัวและไม่ปลอดภัย

เหตุการณ์ที่น่าตกใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเขาตามผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปในร้านกาแฟ เมื่อมีลูกค้าและพนักงานในร้านเข้ามาตักเตือนและขอให้เขาออกไป เขากลับแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดและตะโกนด้วยเสียงดัง “เรียกเลย เรียกตำรวจมาจับฉันเลย จะเอายังไงก็ได้” ซึ่งสะท้อนถึงสภาพจิตใจที่ไม่เสถียรในขณะนั้น

ตำรวจท้องถิ่นได้รับแจ้งเหตุหลายครั้ง แต่เนื่องจากไม่มีการกระทำความผิดอาญาที่ชัดเจน จึงสามารถดำเนินการได้เพียงการให้คำแนะนำและขอความร่วมมือ อย่างไรก็ตาม หน่วยงานสวัสดิการสังคมได้เริ่มติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ความพยายามช่วยเหลือที่ล้มเหลว

แหล่งข่าวจากเพื่อนสนิทในวงการเผยว่า ช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา มีกลุมเพื่อนและคนในวงการที่เคยร่วมงานกับถังจื้อผิงได้รวมตัวกันพยายามช่วยเหลือเขา โดยการจัดหาที่พักพิงที่เหมาะสมและหางานเบาๆ ที่ไม่ใช่ในวงการบันเทิง เพื่อหวังให้เขาสามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้

“เราทุกคนเป็นห่วงเขามาก เพราะเคยเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ตอนนั้นเขายังสามารถสื่อสารได้ปกติ แม้จะดูซึมเศร้าบ้าง” เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟัง “เราจัดหาอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ให้เขาอยู่ และหางานประจำในบริษัทขนส่งสินค้า เป็นงานเบาๆ ที่ไม่ต้องพบปะคนมาก”

อย่างไรก็ตาม ความพยายามช่วยเหลือดังกล่าวกลับล้มเหลว หลังจากที่ถังจื้อผิงใช้ชีวิตในระบบดูแลได้เพียง 3 เดือน เขากลับหลุดจากการติดตามและหายตัวไป โดยทิ้งที่พักและงานที่จัดให้ไว้ กลับไปใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อนอีกครั้ง การติดต่อทุกช่องทางกลายเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเขาไม่มีโทรศัพท์มือถือและไม่มีที่อยู่ถาวร

โศกนาดครั้งยิ่งใหญ่ การสูญเสียคุณแม่

จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของถังจื้อผิงเกิดขึ้นในต้นเดือนมิถุนายน 2024 เมื่อคุนแม่วัย 73 ปีของเขาเลือกที่จะยุติชีวิตตนเองด้วยการใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะ บนดาดฟ้าของแฟลตชุมชนในเขตตั้นไห่ เมืองนิวไทเป

ศพของคุณแม่ถูกพบโดยผู้อยู่อาศัยในอาคารหลังจากเสียชีวิตแล้วถึง 2 วัน ตำรวจสืบสวนพบจดหมายสั้นๆ ที่เขียนด้วยลายมือของคุณแม่ ระบุถึงความเหนื่อยล้าจากปัญหาการเงินและความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกชาย แม้จะไม่ได้กล่าวโทษใครโดยตรง แต่เนื้อหาสะท้อนถึงภาระใจที่หนักอึ้งเกินกว่าจะแบกรับได้

สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ เมื่อเจ้าหน้าที่ติดต่อถังจื้อผิงเพื่อแจ้งข่าวร้ายและขอให้มารับศพแม่ เขากลับปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงและอ้างว่าไม่รู้จักผู้เสียชีวิต แม้จะมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นแม่ของเขาจริง พฤติกรรมนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชื่อว่าเขาอาจอยู่ในภาวะปฏิเสธความเป็นจริงเพื่อป้องกันจิตใจจากความเจ็บปวดที่รุนแรงเกินไป

สาเหตุลึกซึ้งของความเดือดร้อน

เพื่อจะเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาของถังจื้อผิง จำเป็นต้องย้อนไปดูประวัติส่วนตัวของเขา หลังจากออกจากวงการบันเทิงในปี 2014 เขาเริ่มมีปัญหาการเงินอย่างรุนแรง ไม่มีรายได้สม่ำเสมอ และเริ่มมีปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือการติดสุราอย่างหนัก ซึ่งเขาดื่มเป็นประจำต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี โดยในช่วงแรกยังสามารถควบคุมได้บ้าง แต่ต่อมากลายเป็นการดื่มเพื่อหนีจากความเครียดและปัญหาต่างๆ ในชีวิต การติดสุราทำให้เขามีปัญหาสุขภาพกายและใจอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ เขายังมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง ซึ่งทำให้สภาพร่างกายทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ดูแก่กว่าวัยจริงอย่างชัดเจน และเมื่อไม่สามารถทำงานเลี้ยงตัวเองได้ ภาระทางการเงินทั้งหมดจึงตกอยู่กับคุณแม่ผู้สูงวัยเพียงลำพัง ซึ่งต้องหาเลี้ยงตัวเองและลูกชายพร้อมกัน

วิกฤตการเงินที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม

ในปี 2024 สถานการณ์ทางการเงินของถังจื้อผิงและคุณแม่เข้าสู่จุดขั้นวิกฤต พวกเขาค้างค่าเช่าห้องพักอยู่นานถึง 6 เดือน เป็นเงินรวมกว่า 100,000 ดอลลาร์ไต้หวัน (ประมาณ 115,000 บาท) เจ้าของที่พักได้ส่งหนังสือเตือนและขู่ว่าจะฟ้องร้องหรือขับไล่หากไม่ชำระหนี้

คุณแม่ที่อายุมากและมีปัญหาสุขภาพต้องออกไปหาเงินทุกวิถีทาง ตั้งแต่การขายของเก่าในบ้าน การกู้ยืมเงินจากเพื่อนบ้าน ไปจนถึงการพิจารณาขายทองคำเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บไว้สำหรับยามฉุกเฉิน แต่ทุกอย่างไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

ในช่วงเวลาเดียวกัน ถังจื้อผิงยังคงดื่มสุราและปฏิเสธการช่วยเหลือจากทุกฝ่าย รวมทัง้การรักษาพยาบาลที่จำเป็น สถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ นี้อาจเป็นตัวการสำคัญที่ผลักดันให้คุณแม่ตัดสินใจยุติชีวิตในที่สุด

การวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

นายแพทย์เฉลิมพล สมบูรณ์จิต จิตแพทย์จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขงจื่อ ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีของถังจื้อผิงว่า พฤติกรรมปัจจุบันของเขาอาจสอดคล้องกับภาวะ “สูญเสียความทรงจำจากความเครียดรุนแรง” (Dissociative Amnesia) ซึ่งเป็นอาการทางจิตเวชที่เกิดจากบาดแผลทางใจที่รุนแรงเกินกว่าจิตใจจะรับมือได้

“ในกรณีนี้ การที่เขาปฏิเสธการรับรู้ว่าผู้เสียชีวิตคือแม่ของตน อาจเป็นกลไกการป้องกันตัวของจิตใจเพื่อไม่ให้ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่รุนแรง” นายแพทย์เฉลิมพลอธิบาย “ประกอบกับปัญหาการติดสุราเรื้อรัง อาการนอนไม่หลับ และความเครียดจากปัญหาการเงิน ทำให้เกิดภาวะจิตใจไม่เสถียรและพฤติกรรมที่ผิดปกติ”

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นว่า การที่ถังจื้อผิงเดินเร่ร่อนและมีพฤติกรรมรบกวนผู้อื่น อาจเป็นการแสดงออกของความต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าตัวเขาเองจะปฏิเสธการช่วยเหลือโดยตรง “ในหลายกรณี ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงมักจะแสดงพฤติกรรมขัดแย้งกัน คือต้องการความช่วยเหลือแต่กลับปฏิเสธเมื่อมีคนเข้ามาช่วย”

อดีตความรุ่งโรจน์ที่หายไปตลอดกาล

เมื่อย้อนไปดูอดีตของถังจื้อผิง เขาเคยเป็นหนึ่งในนักแสดงหนุ่มที่มีชื่อเสียงที่สุดในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะหลังจากการแสดงในซีรีส์ “ปิ๊งรักสลับขั้ว” (Hana Kimi) ที่ออนอากาศในปี 2006 ซึ่งทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ ทั่วภูมิภาค

ผลงานที่โดดเด่นอีกเรื่องคือ “สี่มือปราบพญายม” (The Four) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นแฟนตาซีที่ได้รับความนิยมสูง การแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และทำให้เขามีแฟนคลับเพิ่มขึ้นอย่างมากในประเทศจีน ฮ่องกง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในช่วงรุ่งเรืองของอาชีพ ถังจื้อผิงเคยมีความสัมพันธ์กับนักแสดงสาวชื่อดังถึง 5 คน โดยแต่ละครั้งต่างได้รับความสนใจจากสื่อและแฟนๆ อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ทั้งหมดจบลงด้วยเหตุผลต่างๆ และไม่มีใครที่สามารถครองใจเขาได้ยาวนาน

การหายตัวไปจากวงการอย่างกะทันหัน

ในปี 2014 ถังจื้อผิงได้ตัดสินใจหายตัวไปจากวงการบันเทิงอย่างกะทันหัน โดยไม่มีการแถลงข่าวหรือคำอธิบายใดๆ ให้แก่สื่อและแฟนๆ เขาตัดขาดการติดต่อกับคนในวงการ ไม่รับงานใหม่ และไม่ปรากฏตัวในงานสาธารณะใดๆ อีกเลย

เหตุผลที่แท้จริงของการตัดสินใจนี้ไม่เคยถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน แต่แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยว่า ในช่วงนั้นเขาเริ่มมีปัญหาการเงินจากการลงทุนที่ผิดพลาด ประกอบกับความเครียดจากชีวิตส่วนตัวที่ซับซ้อน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและต้องการพักผ่อน

“ตอนนั้นเขาบอกว่าอยากพักผ่อนและทำสิ่งอื่น ไม่ได้คิดว่าจะหายไปตลอดกาล” เพื่อนสนิทคนหนึ่งเล่าให้ฟัง “พวกเราคิดว่าเขาจะกลับมาในสัก 1-2 ปี แต่เวลาผ่านไปเขากลับไม่ยอมติดต่อกับใครเลย”

ความหวังที่ริบหรี่และอนาคตที่ไม่แน่นอน

ปัจจุบัน สถานการณ์ของถังจื้อผิงยังคงไม่มีการปรับปรุง แม้จะมีหน่วยงานสวัสดิการสังคมและกลุ่มอาสาสมัครพยายามติดตามและช่วยเหลือ แต่ความยากลำบากในการเข้าถึงตัวเขาและการที่เขาปฏิเสธการช่วยเหลือทำให้การดำเนินการเป็นไปได้อย่างจำกัด

นักสังคมสงเคราะห์ของไทเปชี้ให้เห็นว่า กรณีของถังจื้อผิงสะท้อนถึงปัญหาใหญ่ของระบบสวัสดิการสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตในไต้หวัน “ระบบของเรายังมีช่องว่างในการดูแลผู้ที่ปฏิเสธการช่วยเหลือ เราไม่สามารถบังคับให้ใครรับการรักษาได้หากเขาไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองหรือผู้อื่นอย่างชัดเจน”

แฟนๆ และคนในวงการต่างแสดงความห่วงใยและหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์ที่ทำให้ถังจื้อผิงยอมรับการช่วยเหลือและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความซับซ้อนของปัญหาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม การฟื้นฟูอาจต้องใช้เวลานานและต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย

เรื่องราวของถังจื้อผิงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเปราะบางของชีวิตมนุษย์ และความสำคัญของระบบสนับสนุนทางสังคมสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดงหรือคนธรรมดา ทุกคนต่างมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต และสมควรได้รับการดูแลและความเมตตาจากสังคม