อ้วกแทบพุ่ง! ชาวบ้านสุรินทร์หวั่นภาพติดตาปี 54 เขมรจับอึ่งมาขายฝั่งไทย ผ่าท้องเจอทั้งเส้นผมซากศพ ที่แท้อึ่งกินศพทหารเขมร

ข่าวด่วนเกาะกระแส ฉลาดเลือก - ฉลาดซื้อ

วันที่ 7 สิงหาคม 2568 จากการลงพื้นที่ของผู้สื่อข่าว ณ ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อไม่นานมานี้ พบว่าบรรยากาศในหมู่บ้านต่างๆ ยังคงเงียบเหงา ประตูบ้านแต่ละหลังยังล็อกกุญแจสนิท เนื่องจากทางการยังไม่อนุญาตให้ชาวบ้านกลับเข้ามาอาศัยในพื้นที่อย่างถาวร ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงยังคงต้องพำนักอยู่ที่ศูนย์อพยพที่ทางราชการจัดให้ตามพื้นที่ต่างๆ

สายฝนกับเสียงอึ่งร้องที่ไม่มีใครกล้าจับ

ในช่วงนี้พื้นที่อำเภอพนมดงรักกำลังประสบกับสายฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องและหนักหน่วง โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่ฝนจะเทลงมาตลอดเกือบทั้งคืน เสียงฝนที่กระหน่ำลงมาทำให้อึ่งอ่างต่างๆ ร้องระงมแสดงความปรารถนาในการหาคู่ผสมพันธุ์ เสียงนี้เป็นเสียงที่คุ้นเคยและเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับชาวบ้านในการออกไปจับอึ่งมาประกอบอาหาร

ในสภาวะปกติแล้ว นี่จะเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านต่างพากันออกไปส่องหาอึ่งด้วยไฟฉายเพื่อนำมาประกอบอาหารกิน เพราะช่วงหน้าฝนเป็นฤดูที่อึ่งจะมีขนาดใหญ่และอุดมไปด้วยไข่ แต่ในปีนี้กลับไม่มีใครกล้าออกไปจับอึ่งเลย ทั้งหมดเป็นเพราะความทรงจำอันเจ็บปวดจากเหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่ยังฝังลึกอยู่ในใจของชาวบ้านทุกคน

เหตุการณ์สยองปี 2554 ที่ไม่มีใครลืม

เรื่องราวที่สยองขวัญเริ่มต้นขึ้นหลังจากการปะทะระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชาในปี พ.ศ. 2554 เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลายลงและมีการหยุดยิง พื้นที่ชายแดนเริ่มกลับมาสงบและมีการเปิดทางการค้าขายระหว่างสองประเทศอีกครั้ง

ช่วงนั้นเป็นฤดูฝนเช่นเดียวกับตอนนี้ ชาวกัมพูชาได้นำอึ่งที่จับได้มาขายให้กับชาวบ้านฝั่งไทย อึ่งเหล่านั้นมีขนาดใหญ่และดูสมบูรณ์มาก ท้องโตราวกับจะมีไข่เต็มไปหมด ชาวบ้านที่เห็นจึงต่างพากันซื้อกลับมาเพื่อนำมาประกอบอาหารกิน

แต่เมื่อนำอึ่งเหล่านั้นไปย่างจนสุกและเริ่มจะตัดแต่ง กิ่งแกะเพื่อรับประทาน ความจริงอันสยดสยองก็เผยออกมา เมื่อแกะผ่าท้องอึ่งที่ชาวบ้านคิดว่าจะเต็มไปด้วยไข่อึ่งที่อร่อย กลับพบว่าภายในมีแต่เส้นผมมนุษย์ เศษเมือกคล้ายผิวหนังคน และชิ้นส่วนต่างๆ ที่เน่าเปื่อยจนเนื้อหนังหลุดร่อน

ความจริงที่เจ็บปวด : อึ่งกินศพทหารเขมร

การค้นพบนี้ทำให้ชาวบ้านตระหนักได้ว่า อึ่งเหล่านี้ได้ไปแทะกินศพของทหารเขมรที่เสียชีวิตจากการปะทะและถูกทิ้งไว้ในป่าโดยไม่ได้นำกลับไปอย่างครบถ้วน ศพเหล่านั้นได้เน่าเปื่อยและกลายเป็นอาหารของอึ่งอ่าง ก่อนที่อึ่งเหล่านี้จะถูกจับไปขายให้กับชาวบ้านฝั่งไทยโดยที่ไม่ทราบความจริง

นายอภินพ อนุทูล ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ชายแดน ได้เล่าความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ให้ฟังว่า “หลังจากเหตุการณ์ปะทะในปี 54 เมื่อพื้นที่เริ่มสงบลง การค้าขายระหว่างไทยและกัมพูชาก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในพื้นที่แถวปราสาทตาเมือนธม มีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชาวกัมพูชากับชาวบ้านฝั่งไทยในเขตชายแดน”

“ช่วงนั้นเป็นฤดูฝนและชาวกัมพูชาได้นำอึ่งมาขาย ชาวบ้านเราเห็นอึ่งตัวใหญ่สมบูรณ์ ท้องโตดูเหมือนจะมีไข่เต็มท้อง จึงพากันซื้อกลับมาทำกิน แต่เมื่อนำไปย่างจนสุกและแกะผ่าท้องดู สิ่งที่พบไม่ใช่ไข่อึ่งอย่างที่คิด แต่เป็นเส้นผมและเศษเมือกคล้ายผิวหนังคนที่ตายเน่าเปื่อยจนเนื้อหนังหลุดร่อน”

ผลกระทบต่อจิตใจและวิถีชีวิต

เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ชาวบ้านรู้สึกสยดสยองและกลายเป็นความทรงจำที่หลอกหลังจนถึงปัจจุบัน ความน่ากลัวนี้ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างในหมู่ชาวบ้าน ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าอึ่งเหล่านั้นได้ไปแทะกินซากศพของทหารเขมรที่เสียชีวิตจากการปะทะ

“ศพเหล่านั้นน่าจะเป็นทหารที่ตายจากการปะทะ แล้วทางฝั่งกัมพูชานำกลับไปไม่หมด ถูกทิ้งให้เน่าเปื่อย อึ่งจึงไปแทะไปกินก่อนที่ชาวบ้านจะไปจับมาขายให้ฝั่งไทย ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านก็ไม่กล้ากินอึ่งอีกเลย เพราะเมื่อนึกถึงภาพที่ติดตาช่วงปี 54 ที่ผ่านมา” นายอภินพกล่าว

สถานการณ์ปัจจุบันและความวิตกกังวลของชาวบ้าน

ในปัจจุบัน ชาวบ้านที่ถูกอพยพออกไปพักยังศูนย์พักพิงต่างๆ ต่างโทรมาสอบถามถึงกำหนดการที่จะสามารถกลับเข้ามาพักอาศัยในบ้านของตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ทางการยังไม่อนุญาตให้ชาวบ้านกลับเข้ามาพักถาวร โดยอนุญาตเพียงแค่ให้เข้ามาตรวจสอบบ้านและดูแลสัตว์เลี้ยงเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วต้องกลับไปยังศูนย์พักพิงในตอนเย็น

ความไม่ไว้วางใจที่เพิ่มสูงขึ้น

นายอภินพได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคตว่า “ชาวบ้านต่างลุ้นระทึกกันอยู่ว่าผลการประชุม GBC จะออกมาในรูปแบบไหน ส่วนตัวผมประเมินตามที่อยู่ในเหตุการณ์ตรงนี้มานาน ไม่เชื่อใจกัมพูชาอยู่แล้ว”

“แต่เดิมเราเข้าใจด้วยที่ว่าเรามีคุณธรรมพอที่เห็นคนลำบาก มีความเมตตาสงสาร แต่พอมาเจอเหตุการณ์หนักๆ แบบนี้ เจอผลกระทบกับตัวเองกับชาวบ้านที่มีการปะทะกัน โดยได้เจรจาแล้วแต่กัมพูชาไม่ยอมหยุด ผมมองว่าการที่จะดูแลกันในอนาคตคงจะค่อนข้างยากหลังจากนี้”

ความมั่นใจของไทยกับความสงสัยต่อกัมพูชา

นายอภินพแสดงความเห็นต่อไปว่า “เรามั่นใจว่าประเทศไทยเราอยากจะยุติความขัดแย้งนี้ แต่ทางฝั่งกัมพูชาจะยุติกับเราหรือไม่นั่นแหละ ผมมั่นใจว่าทางกัมพูชาจะไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้อย่างแน่นอน ผมเชื่อแบบนั้น”

บาดแผลในใจที่ยังไม่หาย

เหตุการณ์ในปี 2554 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความทรงจำที่เจ็บปวด แต่ยังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินอยู่ของชาวบ้านจนถึงปัจจุบัน การจับอึ่งซึ่งเป็นกิจกรรมธรรมดาในหน้าฝนที่ชาวบ้านเคยทำกันมานาน กลับกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวและไม่กล้าทำอีกต่อไป

ความกลัวนี้ไม่ได้เกิดจากความเชื่อโชคลางหรือความไม่รู้ แต่เกิดจากประสบการณ์จริงที่เจ็บปวดและสยดสยอง ซึ่งได้ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจของชาวบ้านทุกคน ทำให้พวกเขาไม่สามารถกลับไปมองอึ่งในแง่ของอาหารได้อีกเหมือนเดิม

เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน

หนึ่งในชาวบ้านที่ไม่ประสงค์ออกนามได้เล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นพอแกะอึ่งแล้วเห็นเส้นผมในท้อง เราก็รู้เลยว่าไม่ใช่ของธรรมดา เพราะอึ่งไม่มีผม แล้วผมที่เห็นก็เป็นผมคน ยาวและสีดำ มีทั้งเส้นผมเดี่ยวๆ และที่พันกันเป็นปม รวมทั้งเศษๆ ที่ดูเหมือนผิวหนังที่เน่าแล้ว”

“ตั้งแต่นั้นมาจนทุกวันนี้ แม้จะฟังเสียงอึ่งร้องทุกคืน แต่ไม่มีใครในหมู่บ้านกล้าไปจับอึ่งกินอีกเลย เราไม่รู้ว่าอึ่งที่เราจับมาจะเป็นอึ่งที่กินแต่แมลงและพืช หรือจะเป็นอึ่งที่ไปกินซากศพมา” ชาวบ้านคนนี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม

การที่ชาวบ้านไม่กล้าจับอึ่งมากินไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่เรื่องอาหารเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจของครัวเรือนด้วย เพราะในอดีตการจับอึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญและยังสามารถนำไปขายเป็นรายได้เสริมได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ความกลัวนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ไว้วางใจที่มีต่อเพื่อนบ้านข้างเคียง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนสองฝั่งชายแดนในระยะยาว

บทเรียนจากอดีตสู่อนาคต

เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนที่สำคัญที่แสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งและสงครามไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ในช่วงที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังทิ้งร่องรอยและบาดแผลในจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นเวลานาน

ความทรงจำอันเจ็บปวดจากปี 2554 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวบ้านชายแดน ทำให้พวกเขาต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและความเชื่อที่มีมาแต่เดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความน่ากลัวที่อาจเกิดขึ้นอีก

ความหวังและความวิตกกังวลในอนาคต

แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันจะยังไม่มีความชัดเจน และชาวบ้านยังคงต้องรอคอยการตัดสินใจจากทางการเกี่ยวกับการกลับเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ของตนเอง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือความกลัวต่ออึ่งจะยังคงอยู่ในใจของพวกเขาต่อไปอีกนาน

เสียงอึ่งร้องในคืนฝนพรำที่เคยเป็นเสียงแห่งความหวังและการได้อาหารอร่อย ตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงแห่งความหวาดกลัวและความทรงจำอันเจ็บปวด นี่คือราคาที่แท้จริงของความขัดแย้งบนแผ่นดินชายแดน ที่ไม่สามารถวัดค่าได้ด้วยตัวเลขหรือสถิติใดๆ แต่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คนที่ต้องมาเผชิญหน้ากับมัน

สำหรับชาวบ้านพนมดงรัก อึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่อาหารธรรมดาอีกต่อไป แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวที่จะติดตามพวกเขาไปตลodlife