“เขมจิราต้องรอด” พิสูจน์ความแกร่งซีรีส์ไทย ผสานโรแมนติกสยองขวัญกับมรดกวัฒนธรรมอีสาน

Exclusive ข่าวบันเทิง

ซีรีส์ Boy Love แนวใหม่จากค่าย ดูมันดิ ที่ดัดแปลงจากนิยายฮิตยอดอ่านกว่า 11 ล้านครั้ง เตรียมเปิดตัวบนจอทีวีและแพลตฟอร์มออนไลน์ วันที่ 9 สิงหาคม 2568

วงการบันเทิงไทยกำลังจะได้เห็นผลงานสร้างสรรค์ชิ้นใหม่ที่จะมาเขย่าขวัญใจผู้ชมกับซีรีส์ “เขมจิราต้องรอด” ซีรีส์ Boy Love แนวโรแมนติกสยองขวัญที่ผสมผสานกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมอีสานอย่างลงตัว โดยมีกำหนดออนแอร์เป็นครั้งแรกวันที่ 9 สิงหาคม 2568 เวลา 21.30 น. ทางช่อง One31 และในเวอร์ชัน UNCUT ทางแอปพลิเคชัน iQIYI เวลา 22.30 น.

ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอโดย เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย ในบทภรัณ และ น้ำปิง นภัสกร ปิงเมือง ในบทเขมจิรา ภายใต้การกำกับของ ภานุวัฒน์ อินทวัฒน์, รอน ภัทรภร โตอุ่น และ อ๊อฟชั่น กิตติพัฒน์ จำปา ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสร้าง

ปรากฏการณ์นิยายออนไลน์สู่จอเงิน

“เขมจิราต้องรอด” มีต้นกำเนิดมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของนักเขียนชื่อ คาลิ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นหึ่งในนิยาย Boy Love แนวสยองขวัญไสยศาสตร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2567 ด้วยยอดผู้อ่านที่ทะลุกว่า 11 ล้านครั้งบนแพลตฟอร์ม Readawrite นิยายเรื่องนี้ประกอบด้วยทั้งหมด 53 ตอน และมีฉากหลังเป็นวัฒนธรรมชาวอีสานในจังหวัดอุบลราชธานี

ความสำเร็จของนิยายต้นฉบับสะท้อนให้เห็นถึงความหิวกระหายของผู้อ่านไทยต่อเนื้อหาที่ผสมผสานความโรแมนติก ความสยองขวัญ และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างลงตัว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการตัดสินใจนำเรื่องราวนี้มาสร้างเป็นซีรีส์

น้ำปิง นภัสกร ปิงเมือง นักแสดงนำเผยความรู้สึกว่า “น้ำปิงตื่นเต้นมากเลยนะ แต่ที่มาพร้อมกับความเต้นคือความกดดัน นี่คือซีรีส์ที่มีแฟนนิยายหนาแน่นมาก” ในขณะที่ เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย กล่าวว่า “เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่อ่านแล้ว พาเราไปกับเนื้อเรื่อง เหมือนเรานั่งดูซีรีส์อยู่จริง ๆ”

การสร้างสรรค์จากมุมมองคนในพื้นที่

สิ่งที่ทำให้ “เขมจิราต้องรอด” แตกต่างจากซีรีส์อื่นๆ คือแนวทางการสร้างสรรค์ที่ให้ความสำคัญกับมุมมองของคนในพื้นที่มากกว่าการตีความจากมุมมองคนกรุงเทพฯ ภานุวัฒน์ อินทวัฒน์ หนึ่งในผู้กำกับอธิบายถึงปรัชญาการทำงานว่า

“เราเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ศักดิ์และสิทธิที่จะเอาเรื่องคนอีสานมาเล่า เทียบไม่ได้กับผู้กำกับคนอีสาน ในฐานะคนทำงานเรากังวล แต่มันตื่นเต้นด้วย เราต้องเล่าเรื่องแบบแคร์คนที่อยู่ที่นั่น ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ ที่มองเข้าไปในอีสาน”

เพื่อให้ได้ความถูกต้องและสมจริงในการนำเสนอ ทีมงานได้ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลจากคนในพื้นที่โดยตรง การลงพื้นที่ครั้งนี้เผยให้เห็นความหลากหลายของวัฒนธรรมอีสานที่ละเอียดอ่อนกว่าที่คิด

“เมื่อลงรายละเอียดแล้ว วัฒนธรรมอีสานกว้างและหลากหลายมาก เช่นในจังหวัดอุบลราชธานี แต่ละหมู่บ้านก็มีพิธีกรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ การแต่งกาย หรือข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่เหมือนกัน เช่นพิธีช้อนขวัญ แต่ละหมู่บ้านในอุบลฯ ใช้อุปกรณ์ไม่เหมือนกัน แล้วเราจะใช้อะไร พิธีที่ถูกต้องมันมีจริงหรือเปล่า” ภานุวัฒน์เล่าถึงความท้าทายในการทำงาน

นักแสดงนำกับการแสดงที่ท้าทาย

น้ำปิง นภัสกร ปิงเมือง – ผู้รับบทเขมจิรา

ตัวละครเขมจิราถือเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งต้องเผชิญกับเหตุการณ์สยองขวัญ ฉากโรแมนติก และความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างหลากหลาย ภานุวัฒน์ผู้กำกับเผยว่าน้ำปิงต้องร้องไห้แทบทุกฉาก และเจ้าตัวเลือกที่จะใช้ความรู้สึกจริงในการแสดงทุกครั้ง

“น้องต้องร้องไห้แทบทุกคิว น้ำปิงไม่เชื่อในเทคนิคช่วยเหลืออื่นใด ต้องรู้สึกจริง ๆ เท่านั้น แปลว่าน้อปิงร้องไห้จริงทุกครั้ง” การอุทิศตนของนักแสดงสาวที่ยอมเสียสละเพื่อให้ได้ผลงานที่สมจริงที่สุด

เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย – ผู้รับบทภรัณ

สำหรับเก่ง หฤษฎ์ นี่คือโอกาสสำคัญในการพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแสดงนำ หลังจากที่เคยแสดงในภาพยนตร์ “วิมานหนาม” มาก่อน เขารับบทเป็นพ่อครูภรัณ หมอผีผู้มีฝีมือในการปราบผีอันดับหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี

ภานุวัฒน์กล่าวถึงเก่งว่า “เก่งมีเดิมพันสูง นี่คือเรื่องแรกที่เขาได้เล่นเป็นตัวหลัก และมีความคาดหวังสูง” การนำเสนออาชีพหมอผีในซีรีส์เรื่องนี้จึงต้องทำอย่างระมัดระวังและเคารพต่อผู้ที่ประกอบอาชีพนี้อยู่จริงในสังคมอีสาน

แม่นกน้อย – ศิลปินอีสานแท้

เพื่อให้ได้ความสมจริงสูงสุด ทีมงานได้เชิญ แม่นกน้อย ศิลปินลูกทุ่งอีสานชื่อดังมารับบทยายศรี ซึ่งต้องการนักแสดงที่พูดภาษาอีสานได้อย่างแท้จริงและสามารถร้องเพลงบายศรีได้

ภานุวัฒน์อธิบายว่า “บทยายศรี ต้องการคนที่พูดอีสานได้จริง ๆ และต้องเป็นคนที่ร้องเพลงบายศรีได้ และต้องเป็นคนอีสานที่เล่นบทนี้ สุดท้ายก็ได้แม่นกน้อยมา”

การทำงานเบื้องหลังที่ใส่ใจในรายละเอียด

เครื่องแต่งกายที่มีความหมาย

หนึ่งในจุดเด่นของการผลิตซีรีส์เรื่องนี้คือความพิถีพิถันในการออกแบบเครื่องแต่งกาย นัทธพงศ์ เขียวสะอาด ผู้รับผิดชอบเครื่องแต่งกายเผยว่าทุกชิ้นที่ปรากฏในซีรีส์ล้วนมีความหมายและไม่สามารถทำโดยพลการได้

“เนื่องจากเครื่องแต่งกายหลาย ๆ ชิ้น มีความเชื่อมโยงถึงเรื่องความเชื่อ หรือไสยศาสตร์ เช่น ตะกรุด ยันต์ จึงไม่สามารถทำโดยพลการได้ และได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรง”

ของทุกชิ้นที่เห็นตัวละครสวมใส่มีความหมายและสามารถป้องกันภัยอันตรายได้จริง ตัวอย่างเช่น ยันต์ที่ทีมงานเลือกใช้คือยันต์พุฒซ้อนและยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งนอกจากจะอยู่บนเครื่องแต่งกายแล้ว ยังอยู่บนแผ่นหลังของพ่อครูภรัณด้วย

เพลงประกอบที่สร้างสรรค์

มิติทางดนตรีของซีรีส์เรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดา โดยมีเพลงประกอบหลักชื่อ “ใจจงมั่น” ที่ร้องนำโดย เก่ง หฤษฎ์ และ ปราง ปรางทิพย์ นักร้องเสียงสวรรค์ชื่อดังที่มีเพลงฮิตมากมายอย่าง “ลีลาวดี” และ “ดวงใจ”

การร่วมงานระหว่างสองศิลปินรุ่นใหม่และรุ่นเก่าในเพลงประกอบนี้สร้างความน่าสนใจให้กับผู้ชม โดยเฉพาะแฟนของเก่ง หฤษฎ์ ที่ติดตามผลงานทางดนตรีของเขามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเพลง “TO THE MOON” หรือเพลง cover อย่าง “กลิ่นดอกไม้”, “พบรัก”, “ซ่อน (ไม่) หา” ที่ออกอากาศในช่อง DomundiTV

ความคาดหวังจากแฟนคลับและสื่อมวลชน

แฟนนิยายต้นฉบับแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียว่า “โคตรจะเขมจิราต้องรอดเเกคือมันเกินคำว่าทำถึงจริงๆ จากนิยายที่ยอดคนอ่านพุ่งทะลายกลายเป็นซีรีย์โปรเจคใหญ่ของค่ายส้ม เเล้วเขาทำถึงชิบหาย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังสูงที่มีต่อการดัดแปลงครั้งนี้

วงการบันเทิงไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อหาที่มาจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ความสำเร็จของ “เขมจิราต้องรอด” จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าการดัดแปลงนิยายออนไลน์สู่ซีรีส์สามารถสร้างผลงานที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับได้มากแค่ไหน

อนาคตของซีรีส์ไทยกับเนื้อหาท้องถิ่น

“เขมจิราต้องรอด” ไม่เพียงแต่เป็นซีรีส์ Boy Love แนวใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการทดลองสำคัญในการนำเสนอเนื้อหาที่หยั่งรากลึกสู่วัฒนธรรมท้องถิ่นไทย การผสมผสานระหว่างความทันสมัยของสื่อดิจิทัลกับภูมิปัญญาพื้นบ้านอาจเป็นแนวทางใหม่ที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมบันเทิงไทยให้มีเอกลักษณ์เฉพาตัวมากขึ้น

การออกแอร์ของ “เขมจิราต้องรอด” จึงไม่เพียงแต่เป็นการเปิดตัวซีรีส์ใหม่ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการทดลองรูปแบบการเล่าเรื่องที่อาจเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับอนาคตของวงการบันเทิงไทย ซึ่งจะต้องรอติดตามกันต่อไปว่าผู้ชมจะให้การตอบรับอย่างไร และจะสร้างกระแสในวงการมากแค่ไหน

ด้วยความพยายามและความใส่ใจในทุกรายละเอียดของทีมงาน ตั้งแต่การศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างจริงจัง การคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสม ไปจนถึงการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายและเพลงประกอบที่มีความหมาย “เขมจิราต้องรอด” พร้อมจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าซีรีส์ไทยสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีทั้งความบันเทิงและคุณค่าทางวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว

การออกอากาศเป็นครั้งแรกในวันที่ 9 สิงหาคม 2568 จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการเล่าเรื่องผ่านสื่อภาพยนตร์ไทย ที่ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับรากเหง้าทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์และสมจริง