สถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการรอผลการประชุม GBC (ข้อตกลงชายแดนร่วม) และยังคงปฏิบัติตามข้อตกลง “หยุดยิงชั่วคราว” ที่ได้ตกลงกันไว้ แต่สถานการณ์กลับมีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อปัญหาใหม่ที่เรียกว่า “ปัญหาโดรน” ได้แทรกขึ้นมาและกลายเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือการที่ฝ่ายทหารและหน่วยงานความมั่นคงของไทยได้ตรวจพบการบินของ “โดรน” จำนวนมากในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ แม้ว่าทางการจะได้ประกาศห้ามการใช้โดรนในบริเวณดังกล่าวและกำหนดโทษสูงสุดตามกฎหมายแล้ว แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถหยุดยั้งได้
สมมติฐานเบื้องต้น: โดรนไทยบินป่วนกันเอง
ในขั้นแรก มีการให้ข้อมูลจากบางฝ่ายว่าโดรนที่ตรวจพบส่วนใหญ่เป็น “โดรนไทย” ของคนไทยเองที่บินป่วนกันเอง โดยมีแรงจูงใจหลากหลาย บางคนต้องการท้าทาย บางคนอยากดัง บางคนอยากทำคอนเทนต์ และบางคนอยากลองของใหม่ สมมติฐานนี้ได้รับการสนับสนุนเมื่อเมื่อไม่นานมานี้มี “โดรนตกดิน” ปรากฏว่าเป็นโดรนของเจ้าหน้าที่ไทยเอง ทำให้สมมติฐานนี้ดูเป็นจริงขึ้นมาและทำให้ประเมินได้ว่าสถานการณ์ยังไม่น่ากังวลมากนัก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากอีกบางฝ่ายกลับไปไกลถึงขนาดระบุว่าไทยกำลังเผชิญกับ “สงครามจิตวิทยา” ที่มีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด และอาจมีเจตนาที่ลึกซึ้งกว่าการเพียงแค่สร้างความปั่นป่วนเท่านั้น
เปิดความลับ “แมปปิ้ง โดรน” เก็บพิกัดทางทหาร
คำว่า “แมปปิ้ง โดรน” มาจากภาษาอังกฤษ Mapping Drone ซึ่งหมายถึงโดรนที่ใช้ในการหาพิกัดและทำแผนที่ ข้อมูลวงในจากฝ่ายทหารที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของ “โดรนป่วนไทย” เผยว่าสถานการณ์ขณะนี้ถือว่า “ไม่ธรรมดา” มีความจงใจให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นจริง แต่ผลสุดท้ายที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการไม่ใช่แค่ “สงครามจิตวิทยา” แต่น่าจะต้องการข้อมูลทางทหารเพื่อนำไปใช้ในการรบครั้งต่อไป
แหล่งข่าวจากฝ่ายทหารระบุว่าจุดที่พบโดรนเท่าที่เก็บสถิติสามารถระบุพื้นที่ได้ชัดเจน ได้แก่ สระแก้ว นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ อุบลราชธานี นครราชสีมา จันทบุรี/ตราด สุรินทร์ และศรีสะเกษ จังหวัดเหล่านี้บางจังหวัดมีกองบินเป็นจุดจอดเครื่องบินรบทั้ง F-16 และกริพเพน บางจังหวัดมีหน่วยทหารสำคัญเป็นที่ตั้งฝ่ายกองกำลัง และหน่วยราชการที่มีความเสี่ยง เช่น ไฟฟ้า ประปา หรือสาธารณูปโภค
จุดที่พบโดรนหรือจุดที่โดรนขึ้นบินและตรวจพบเป็นพื้นที่เหนือหรือใกล้เคียงกับหน่วยราชการเหล่านั้น โดยเฉพาะกองบินและหน่วยทหาร ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายที่ชัดเจนในการเก็บข้อมูลพิกัดของสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์
การจับกุมผู้ต้องสงสัยและการสารภาพ
นอกจากจุดที่พบ “โดรน” ที่ยืนยันถึงความผิดปกติแล้ว ยังมีการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับโดรนซึ่งพบความไม่ปกติเช่นกัน การจับกุมครั้งสำคัญได้แก่ การจับคนกัมพูชาซึ่งไม่น่าแปลกใจแม้จะปฏิเสธแต่ทางการไทยก็ไม่เชื่อ การจับคนรัสเซียที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอ้างเป็นยูทูบเบอร์มาถ่ายรายการขี่จักรยานมาถ่าย แต่ทหารไทยไม่ปักใจเชื่อเช่นกัน
การยิงทำลายโดรนได้หลายครั้งในจุดที่ไม่เปิดเผยพิกัดฝ่ายเรา พบว่าเป็น “โดรนกระจอก” ราคาถูกไม่มีอาวุธติดเฉพาะกล้อง แต่มีการพันเทปสีดำเพื่อป้องกันระบบตรวจจับ ที่สำคัญที่สุดคือการจับคนบินโดรนได้ล่าสุดซึ่งยอมรับว่าไม่ได้ต้องการโจมตีหรือสร้างความเสียหายหรือก่อกวน แต่ต้องการส่งพิกัด แปลว่าขึ้นโดรนเพื่อทำแมปปิ้ง (Mapping) หรือทำแผนที่จุดที่ตั้งของกองบิน กองทหาร หน่วยงานด้านสาธารณูปโภคนั่นเอง
การวิเคราะห์ลักษณะ “โดรนจารกรรม”
งานนี้อาจสรุปได้ว่าเป็น “โดรนจารกรรม” ก็ไม่ผิดนัก หากมองว่าไม่อันตรายในแง่ที่ไม่ใช่ “โดรนโจมตี” ก็มองได้ แต่ผลร้ายอาจหนักยิ่งกว่า ที่ผ่านมาบางกองบินของเราเคยโดนโจมตีด้วย “โดรนกามิกาเซ่” ไม่ติดอาวุธแต่พุ่งชนและมาพร้อมกันหลายลำ โดรนประเภทนี้ราคาถูกกว่าโดรนติดอาวุธแต่ก็อันตรายเช่นกัน
การใช้โดรนในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนที่ละเอียดและมีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่การกระทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรือเพื่อความบันเทิงอย่างที่อาจเข้าใจในตอนแรก การเก็บข้อมูลพิกัดของสถานที่สำคัญทางทหารและสาธารณูปโภคเป็นขั้นตอนเตรียมการที่อาจนำไปสู่การดำเนินการที่ร้ายแรงมากขึ้นในอนาคต
การอ่านยุทธการกัมพูชาหลังส่ง “โดรนจารกรรม”
จากการวิเคราะห์ผลทางการทหาร พบว่าข้อมูลจากแมปปิ้งโดรนสามารถนำไปทำพิกัดกองบิน หน่วยทหาร หน่วยรบ และหน่วยสาธารณูปโภคของไทยได้ ถ้าประชุม GBC ไม่เป็นผลสำเร็จ อาจมีการเปิดฉากยิงปะทะรอบที่สอง คราวนี้หน่วยทหารและกองบินของไทยอาจตกเป็นเป้าหมายโจมตี
หลายพื้นที่ที่พบโดรนบินสำรวจเป็นจุดที่เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องของกัมพูชายิงถึงได้ คืออยู่ในระยะยิงเช่น BM-21 การรู้พิกัดกองบินอาจไม่ต้องโจมตี แค่ส่งโดรนมาบินกวนก็ทำให้เครื่องบินรบไม่สามารถขึ้นบินได้ เพราะหากพลาดไปชนก็เหมือนชนนกอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่ได้ เท่ากับสกัดการโจมตีทางอากาศได้
หากรบนานไปและมีมหาอำนาจหนุนหลังแทรกแซงฝ่ายตรงข้าม อาจทำให้ไทยเสียเปรียบเพราะข้อมูลพื้นที่ส่วนหลังถูกล่วงรู้และทำพิกัดได้ทั้งหมด การที่ฝ่ายตรงข้ามมีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของหน่วยทหารและสาธารณูปโภคสำคัญของไทยจะทำให้การวางแผนโจมตีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แผนการตอบโต้และมาตรการเตรียมการ
แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีและน่ากังวลอย่างมาก แต่ข่าวดีจากแหล่งข่าวทางทหารก็คือฝ่ายเราได้เตรียมการตอบโต้เอาไว้เช่นกัน ส่วนจะมีประสิทธิภาพแค่ไหนต้องรอดูแม้ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก็ตาม
การเตรียมการตอบโต้นี้น่าจะรวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งของระบบป้องกันทางอากาศ การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ และการพัฒนาเทคโนโลยีตอบโต้โดรนที่ทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังอาจมีการปรับปรุงโปรโตคอลการตรวจจับและการดำเนินการกับโดรนที่บุกรุกน่านฟ้า
ความหมายต่อความมั่นคงของชาติ
สถานการณ์โดรนจารกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการสงครามในยุคใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธขนาดใหญ่หรือกองกำลังจำนวนมาก การใช้เทคโนโลยีโดรนราคาถูกในการเก็บข้อมูลข่าวกรองสามารถสร้างความเสียหายทางยุทธศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
การที่ประเทศเพื่อนบ้านสามารถเข้าถึงข้อมูลพิกัดของสถานที่สำคัญทางทหารและสาธารณูปโภคของไทยได้อย่างละเอียด เป็นความท้าทายใหม่ที่ต้องการการปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเร่งด่วน ไม่เพียงแต่ในด้านการป้องกันทางอากาศเท่านั้น แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีตอบโต้และการเสริมสร้างความตระหนักในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ด้วย
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
วันที่ 7 สิงหาคมที่กำลังจะมาถึงอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากการใช้โดรนจารกรรมอาจถูกนำมาใช้ในการดำเนินการที่ร้ายแรงมากขึ้น หากการเจรจาทางการทูตไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
สถานการณ์นี้เป็นการเตือนใจให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาความสามารถในการป้องกันประเทศในยุคดิจิทัล การลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันและการเตรียมความพร้อมของบุคลากรเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ในขณะที่ทุกฝ่ายยังคงหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการทางการทูต แต่การเตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายลงยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นและไม่สามารถมองข้ามได้ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงนี้