ไทยเปิดประตูเนื้อหมูสหรัฐฯ แลกลดภาษี ความเสี่ยงจาก “สารเร่งเนื้อแดง” ที่ภาครัฐต้องเตรียมรับมือ

ฉลาดเลือก - ฉลาดซื้อ

การเจรจาการค้าระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาในช่วงแรกของการบริหารงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งผลให้เกิดข้อตกลงสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของไทยอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่คณะทำงานไทยสามารถเจรจาต่อรองลดอัตราภาษี Trump’s Tariffs ลงมาอยู่ที่ 19% เทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การเจรจาครั้งนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนที่อาจสร้างความกังวลใจให้กับหลายภาคส่วนในประเทศ

หนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณประมาณร้อยละ 1 ของอัตราการบริโภคเนื้อหมูรวมของไทย หรือคิดเป็นปริมาณประมาณ 10,000 ตันต่อปี แม้ว่าตัวเลขนี้จะดูเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก แต่เมื่อมองจากมุมมองด้านความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพผู้บริโภค และผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในประเทศแล้ว การตัดสินใจนี้ต้องการการพิจารณาอย่างรอบคอบและรัดกุมเป็นอย่างยิ่ง

ความแตกต่างของมาตรฐานการผลิตที่ส่งผลต่อคุณภาพอาหาร

ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นจากการนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐอเมริกาคือความแตกต่างของมาตรฐานการผลิตระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการใช้สารเร่งเนื้อแดงหรือแรคโตพามีน (Ractopamine) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (β-agonist) ที่สหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้ในการเลี้ยงสุกรและโคเนื้อ แต่ประเทศไทยได้ห้ามการใช้สารดังกล่าวมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปีแล้ว

เกษตรกรไทยได้สร้างชื่อเสียงในการผลิตเนื้อหมูคุณภาพสูงที่ปลอดภัย โดยไม่อาศัยการใช้สารเร่งเนื้อแดงในกระบวนการเลี้ยง นับเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางอาหารที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ การรักษามาตรฐานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องสุขภาพผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลกที่มีความต้องการสินค้าเกษตรปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

แม้ว่าองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) จะอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดงในปริมาณที่จำกัดและภายใต้การควบคุม แต่ความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาวยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องในวงการแพทย์และนักวิจัยทั่วโลก รวมถึงความสามารถในการควบคุมให้เกษตรกรใช้สารดังกล่าวไม่เกินขนาดที่กำหนดก็ยังเป็นที่กังขาและต้องการการติดตามอย่างใกล้ชิด

ความเสี่ยงจากสารแรคโตพามีนต่อสุขภาพมนุษย์

สารเร่งเนื้อแดงหรือแรคโตพามีนเป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและลดการสะสมของไขมันในสัตว์ โดยเฉพาะในสุกรและโค การใช้สารนี้ช่วยให้สัตว์เจริญเติบโตได้เร็วขึ้น มีสัดส่วนเนื้อแดงมากกว่าไขมัน และลดต้นทุนการเลี้ยงลง จึงเป็นที่นิยมในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และบราซิล

อย่างไรก็ตาม สารนี้ถูกห้ามใช้โดยเด็ดขาดในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหภาพยุโรป จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย ด้วยเหตุผลหลักสามประการ ได้แก่ ประการแรก คือความเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์ เนื่องจากผลการวิจัยพบว่าสารนี้อาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง อาการมือสั่น หรืออาการแพ้ในผู้บริโภคที่มีความไวต่อสารดังกล่าว

ประการที่สอง คือปัญหาการตกค้างของสารในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ หากไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต ตั้งแต่การให้อาหารสัตว์ การรักษาระยะหยุดยาก่อนการฆ่า และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ สารเร่งเนื้อแดงมีโอกาสตกค้างในเนื้อหมูหรือเครื่องในที่นำมาจำหน่ายในตลาด ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว

ประการที่สาม คือประเด็นจริยธรรมและมาตรฐานอาหาร หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศพิจารณาว่าการใช้สารเคมีเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์เป็นการกระทำที่ขัดต่อจริยธรรมและไม่สอดคล้องกับแนวทาง “อาหารปลอดภัย” (Food Safety) ที่ประชาคมโลกให้ความสำคัญมากขึ้นในยุคปัจจุบัน

ผลกระทบต่อกฎหมายและระบบควบคุมของไทย

การเปิดตลาดให้เนื้อหมูที่อาจปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงสามารถเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้นั้น จะต้องมีการปรับแก้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ โดยเฉพาะประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 269) พ.ศ. 2546 เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีในกลุ่มเบต้าอะโกนีสต์ ที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522

นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ พ.ศ. 2559 ตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 ซึ่งห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์สำหรับการเลี้ยงสุกรอย่างชัดเจน

การปรับเปลี่ยนกฎหมายเหล่านี้อาจเป็นการเปิดทางให้เกษตรกรไทยบางรายจำใจต้องหันมาใช้สารเร่งเนื้อแดงเช่นกันเพื่อลดต้นทุนการผลิตและแข่งขันกับผลิตภัณฑ์นำเข้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนผู้บริโภคเนื้อหมูทั่วประเทศอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น การเปิดช่องทางในกฎหมายดังกล่าวอาจทำให้ขบวนการ “หมูเถื่อน” ฟื้นคืนชีพอีกระลอก ไม่ว่าจะออกมาในรูปของการสวมสิทธิ์ผลิตภัณฑ์นำเข้า การสำแดงข้อมูลเท็จเกี่ยวกับแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ หรือการหลีกเลี่ยงมาตรฐานการตรวจสอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นหายนะต่อเกษตรกรที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ต่อผู้บริโภคที่ต้องการอาหารปลอดภัย และต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศโดยรวม

เสียงต่อต้านจากสมาคมเกษตรกรและผู้เลี้ยงสุกร

นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งประเทศไทยได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาจะเป็นการทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรของไทยอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากเกษตรกรไทยไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนการผลิตกับสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกกว่าได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตต่างประเทศสามารถใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ผลกระทบจะขยายตัวไปตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกพืชเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตอาหารสัตว์ ผู้ประกอบการโรงงานอาหารสัตว์ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร โรงฆ่าสัตว์ ไปจนถึงผู้ประกอบการในส่วนการแปรรูปและการค้าปลีกทั้งในตลาดสดและอุตสาหกรรมห้างสรรพสินค้า การนำเข้าเนื้อหมูสหรัฐอเมริกาครั้งนี้อาจนำไปสู่การสั่นคลอนและทำลายห่วงโซ่การผลิตสุกรทั้งระบบที่ได้สร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน

บทเรียนจากประเทศฟิลิปปินส์และผลกระทบในระยะยาว

ตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบจากการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาสามารถมองเห็นได้จากประสบการณ์ของประเทศฟิลิปปินส์ หลังจากที่ฟิลิปปินส์เปิดตลาดให้การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกา จำนวนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในท้องถิ่นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับราคาและปริมาณของสินค้านำเข้าได้

ผลที่ตามมาคือราคาเนื้อหมูในตลาดท้องถิ่นพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 15-30 เป็นการสร้างภาระทางเศรษฐกิจให้กับผู้บริโภคในท้ายที่สุด ทั้งที่เดิมการเปิดตลาดนำเข้ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าในราคาที่ถูกลง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากการพึ่งพาสินค้านำเข้ามากเกินไปทำให้ขาดความสมดุลในตลาดและสูญเสียความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว

การลดลงของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรในท้องถิ่นยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากและการจ้างงานในพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจการเกษตรในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย

ความท้าทายในการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพ

การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาที่อาจมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงจะสร้างความท้าทายอย่างมากต่อระบบการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพอาหารของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพัฒนาระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นำเข้าทุกชิ้นได้รับการตรวจสอบอย่างครอบคลุมก่อนเข้าสู่ตลาด

ความซับซ้อนของการตรวจสอบสารเร่งเนื้อแดงต้องอาศัยเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัย รวมถึงบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งต้องการการลงทุนด้านงบประมาณและเวลาในการเตรียมความพร้อมอย่างมาก นอกจากนี้ยังต้องมีระบบการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) ที่สามารถระบุแหล่งที่มาและเส้นทางการกระจายสินค้าได้อย่างแม่นยำ

ประเด็นที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือความสามารถในการตรวจจับและป้องกันการลักลอบนำเข้า หรือการหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบ ซึ่งอาจทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานหลุดเข้าสู่ตลาดและก่อให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพผู้บริโภค

แนวทางการปรับตัวของเกษตรกรไทย

เมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายจากการเปิดตลาดนำเข้า เกษตรกรไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและหาจุดแข็งที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ การรักษาและเสริมสร้างจุดขายในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์จะเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแข่งขัน

การพัฒนาระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน การได้รับการรับรองมาตรฐานระหว่างประเทศ และการสร้างแบรนด์สินค้าที่มีเอกลักษณ์จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ไทย การรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและลดต้นทุนการผลิต ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สำคัญ

นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ การจัดการฟาร์ม และการตลาดออนไลน์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเข้าถึงตลาดได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

ความจำเป็นในการสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภค

การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความแตกต่างของมาตรฐานการผลิต และผลกระทบต่อสุขภาพจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้บริโภคที่มีความรู้และความเข้าใจจะสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้อย่างเหมาะสมและเป็นแรงส่งเสริมให้ผู้ผลิตในประเทศผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ

การสร้างป้ายชี้บ่งแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน การให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิตและมาตรฐานความปลอดภัย รวมถึงการรณรงค์การบริโภคผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีคุณภาพจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ

บทสรุป: ความสมดุลระหว่างการค้าและความปลอดภัย

การแลกเปลี่ยนการเปิดตลาดเนื้อหมูสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้ปัญหาภาษีนำเข้าอาจดูเหมือนเป็นทางออกที่เหมาะสมในระยะสั้น แต่ผลกระทบในระยะยาวต่อโครงสร้างการผลิตอาหาร สุขภาพประชาชน และความมั่นคงทางอาหารของประเทศต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ

รัฐบาลไทยจำเป็นต้องกำหนดมาตรการคุ้มครองและสนับสนุนเกษตรกรในประเทศ พร้อมทั้งสร้างระบบการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดเพื่อปกป้องผู้บริโภค การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งแต่รัฐบาล เกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้

ในขณะที่ประเทศไทยเตรียมพร้อมเข้าสู่ยุคใหม่ของการค้าระหว่างประเทศ การรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการปกป้องสุขภาพประชาชนจะเป็นการทดสอบความสามารถในการบริหารประเทศและการดูแลประชาชนของรัฐบาลอย่างแท้จริง ทุกคนในสังคมไทยต้องเตรียมความพร้อมและร่วมมือกันเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่กำลังจะมาถึงนี้