เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ความคืบหน้าของคดีที่เป็นข่าวใหญ่ในจังหวัดบุรีรัมย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลเมืองบุรีรัมย์ ประสบความสำเร็จในการติดตามจับกุมพนักงานสินเชื่อธนาคารที่ได้หลอกลวงและยักยอกเงินของลูกค้าไปใช้ส่วนตัว
นางสาวพัชรา หูประโคน อายุ 32 ปี เจ้าของร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้เสียหายหลักในคดีนี้ ซึ่งถูกหลอกลวงให้กู้เงินจากธนาคารเป็นจำนวนเงิน 699,645 บาท โดยพนักงานสินเชื่อได้อ้างว่าเป็นเพียงการทำยอดเพื่อให้ได้ค่าคอมมิชชั่นจากการปล่อยสินเชื่อเท่านั้น
ด้วยความที่ผู้เสียหายรู้จักและไว้ใจพนักงานสินเชื่อคนดังกล่าวมาก่อน จึงยอมดำเนินการกู้เงินตามที่ร้องขอ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 ธนาคารได้อนุมัติและโอนเงินกู้เข้าบัญชีของผู้เสียหายตามจำนวนที่ขอกู้
รูปแบบการหลอกลวงที่แยบยล
หลังจากที่ธนาคารโอนเงินกู้เข้าบัญชีของผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายได้โอนเงินกลับไปให้พนักงานสินเชื่อตามที่ตกลงไว้ โดยแบ่งการโอนออกเป็น 2 ครั้งหลัก ครั้งแรกในวันที่ 21 กันยายน 2566 จำนวน 400,000 บาท และส่วนที่เหลือได้ทยอยโอนไปครั้งละ 5,000-60,000 บาท จนครบตามยอดที่กู้มาภายในระยะเวลา 6 เดือน
พนักงานสินเชื่อได้รับรองว่าจะเป็นผู้นำเงินเข้าระบบชำระคืนของธนาคารเอง แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวทั้งหมด โดยใช้ในการกินเที่ยวและการใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ซึ่งพบว่าพนักงานคนดังกล่าวเป็น LGBTQ และมีการใช้จ่ายในลักษณะที่ฟุ่มเฟือย
การเปิดโปงความจริง
ในเดือนสิงหาคม 2567 ความจริงเริ่มเปิดเผยเมื่อเจ้าหน้าที่จากฝ่ายเร่งรัดหนี้ของธนาคารได้โทรศัพท์แจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่ามีการค้างชำระเงินกู้ ทั้งที่ผู้เสียหายได้โอนเงินให้พนักงานสินเชื่อไปแล้วทั้งหมด เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้เสียหายตระหนักได้ว่าตนเองถูกหลอกลวง
ผู้เสียหายจึงรวบรวมหลักฐานการโอนเงินและเอกสารต่างๆ เข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลเมืองบุรีรัมย์ในเดือนสิงหาคม 2567 เมื่อถูกเรียกตัวมาสอบปากคำ ผู้ก่อเหตุได้ยอมรับว่าได้ยักยอกเงินของผู้เสียหายจริง และรับปากจะทยอยหาเงินมาชดใช้คืน แต่หลังจากนั้นกลับเงียบหายและหลบหนีไป
การติดตามและจับกุม
หลังจากที่ผู้ก่อเหตุหลบหนีไปได้นานกว่า 5 เดือน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจนครบาลเมืองบุรีรัมย์ ได้ทำการติดตามและสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุได้ที่บ้านเกิดในจังหวัดเพชรบูรณ์
การจับกุมในครั้งนี้เป็นผลจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ และการติดตามข้อมูลอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเบื้องต้นถูกแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์
การสอบปากคำและการยอมรับผิด
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ สื่อมวลชนได้มีโอกาสสอบถามผู้ต้องหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ต้องหาได้ยอมรับว่าได้ก่อเหตุยักยอกเงินของผู้เสียหายจริง โดยอ้างเหตุผลว่าช่วงเวลานั้นมีปัญหาทางการเงิน และแสดงความตั้งใจที่จะพยายามหาเงินมาทยอยชำระคืนแก่ผู้เสียหาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกซักถามเกี่ยวกับผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่อาจถูกกระทำในลักษณะเดียวกัน ผู้ต้องหากลับปฏิเสธและอ้างว่ามีเพียงรายเดียวเท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่ได้รับจากแหล่งข่าวอื่นๆ
บทบาทของทนายความในการช่วยเหลือ
นายวีรยุทธ ศิริเรืองประภา ทนายความจากอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหาย โดยได้นำผู้เสียหายเดินทางมาที่สถานีตำรวจนครบาลเมืองบุรีรัมย์ เพื่อพูดคุยกับผู้ต้องหาและญาติของผู้ต้องหาถึงแนวทางในการชดใช้เงินที่ยักยอกไปคืนผู้เสียหาย
การเจรจาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เสียหาย เนื่องจากผู้เสียหายต้องถูกฝ่ayเร่งรัดของธนาคารติดตามทวงหนี้แทบทุกวัน ซึ่งสร้างความกดดันและความเครียดอย่างมาก ญาติของผู้ต้องหาได้รับปากว่าจะพยายามหาเงินมาคืนให้ แต่ขอเวลาสักระยะหนึ่ง
การเผยแพร่ข่าวและผู้เสียหายรายใหม่
หลังจากที่คดีนี้ได้รับการเผยแพร่ในสื่อมวลชนและเป็นข่าวใหญ่ ปรากฏว่ามีผู้เสียหายจากหลายพื้นที่ได้แจ้งข้อมูลผ่านทนายความว่าถูกพนักงานสินเชื่อคนดังกล่าวหลอกลวงให้กู้เงินแล้วยักยอกในลักษณะเดียวกันอีกเกือบ 10 ราย
ผู้เสียหายรายใหม่เหล่านี้มาจากหลากหลายพื้นที่ บางรายได้แจ้งความไปแล้ว ขณะที่บางรายยังไม่ได้แจ้งความ การเผยแพร่ข่าวครั้งนี้ช่วยให้ผู้เสียหายรายอื่นๆ กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง และแสวงหาความยุติธรรม
แนวทางการช่วยเหลือผู้เสียหาย
ทนายความวีรยุทธได้แสดงความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่อาจจะถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน โดยผู้เสียหายรายใดที่ต้องการความช่วยเหลือในการเรียกค่าเสียหายคืนสามารถติดต่อมาได้ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
การรวบรวมผู้เสียหายหลายรายนี้อาจจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการดำเนินคดี และเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกเอาเปรียบ รวมทั้งอาจจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดคดีในลักษณะเดียวกันขึ้นอีกในอนาคต
ผลกระทบต่อระบบธนาคารและความเชื่อมั่น
คดีนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายโดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อระบบธนาคารและพนักงานสินเชื่อ การที่มีพนักงานสินเชื่อใช้ตำแหน่งหน้าที่และความไว้วางใจของลูกค้าในการหลอกลวงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ธนาคารต่างๆ อาจจะต้องทบทวนระบบการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของพนักงานสินเชื่อให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก รวมทั้งการสร้างระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทเรียนสำคัญและข้อควรระวัง
คดีนี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประชาชนทั่วไปในการระมัดระวังการทำธุรกรรมทางการเงิน แม้จะเป็นกับบุคคลที่รู้จักหรือไว้วางใจก็ตาม การกู้เงินหรือการทำธุรกรรมทางการเงินควรดำเนินการผ่านช่องทางที่ถูกต้องและโปร่งใสเท่านั้น
ประชาชนควรระมัดระวังการให้ความไว้วางใจกับบุคคลอื่นในเรื่องการเงิน โดยเฉพาะการโอนเงินให้บุคคลอื่นไปดำเนินการแทน ควรตรวจสอบและยืนยันการดำเนินการผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงินโดยตรง
หากมีข้อสงสัยหรือพบพฤติกรรมที่น่าสงสัยจากเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ควรแจ้งให้ธนาคารหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบทันที เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงและสร้างความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ขั้นตอนการดำเนินคดีต่อไป
ปัจจุบันพนักงานสอบสวนได้นำสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องที่อัยการจังหวัดบุรีรัมย์ตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม คาดว่าจะมีการดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม
การดำเนินคดีในครั้งนี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างความเป็นธรรมและการป้องกันอาชญากรรมทางการเงินในรูปแบบนี้ หากผู้ต้องหาถูกตัดสินลงโทษอย่างเหมาะสม จะเป็นการสร้างความเกรงกลัวและป้องปรามไม่ให้มีการกระทำผิดในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก
ทั้งนี้ การติดตามคดีและการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันตนเองจากการหลอกลวงทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง