เคยสงสัยไหมว่า ทำไมสินค้าบางชิ้นถึงมีคำว่า “ควรบริโภคก่อน” แต่บางชิ้นกลับเขียนว่า “หมดอายุ” แล้วแบบไหนที่เราควรทิ้งทันทีหรือยังพอกินได้อยู่ ความแตกต่างเพียงไม่กี่คำนี้ ส่งผลต่อทั้งคุณภาพของอาหารและความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างมาก
คำว่า “ควรบริโภคก่อน” (BBE/BBF : Best Before End / Best Before Use) และ “วันหมดอายุ” (EXP : Expiry Date) แม้จะดูคล้ายกันเมื่อปรากฏอยู่บนฉลากอาหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความหมายและผลต่อการบริโภคที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
ความหมายของ “ควรบริโภคก่อน” (BBE/BBF)
ควรบริโภคก่อน (BBE/BBF) หมายถึงวันที่ที่อาหารจะมีรสชาติดีที่สุด และยังคงคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามที่ระบุไว้บนฉลากอาหาร การกำหนดวันที่นี้มุ่งเน้นไปที่คุณภาพของผลิตภัณฑ์มากกว่าความปลอดภัย หลังจากวันที่ดังกล่าวผ่านไป รสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัส และคุณค่าทางอาหารอาจลดลงไปบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าอาหารนั้นจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทันที
สินค้าที่มักพบคำว่า “ควรบริโภคก่อน” ได้แก่ ขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแลต ข้าวกล้อง แป้ง น้ำตาล เครื่องปรุงรสแห้ง และอาหารกระป๋องต่างๆ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานและมีความเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อโรคค่อนข้างต่ำ
หลังวัน BBE/BBF ผ่านไปแล้ว อาหารยังสามารถรับประทานได้ หากไม่มีสัญญาณบูดเสียหรือเปลี่ยนสภาพชัดเจน เช่น กลิ่นเปรี้ยวหรือเหม็นแปลกๆ สีเปลี่ยน มีเชื้อราขึ้น หรือเนื้อสัมผัสผิดปกติ ผู้บริโภคสามารถใช้วิจารณญาณในการตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสก่อนตัดสินใจบริโภค
อย่างไรก็ตาม การเก็บรักษาที่เหมาะสมตามคำแนะนำบนฉลากจะช่วยรักษาคุณภาพของอาหารให้ดียิ่งขึ้น เช่น เก็บในที่แห้ง เย็น หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง หรือเก็บในตู้เย็นตามที่กำหนด
ความหมายของ “วันหมดอายุ” (EXP)
หมดอายุ (EXP) คือวันที่ที่อาหารนั้นหมดอายุการใช้งาน หลังจากวันนั้นไม่ควรนำอาหารนั้นมาบริโภคเพราะอาหารนั้นจะเน่าเสียหรือบูดแล้ว การบริโภคอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ คำว่า “หมดอายุ” มักจะใช้กับผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจริญของเชื้อโรคหรือการสลายตัวของสารสำคัญ
สินค้าที่มักพบคำว่า “หมดอายุ” ได้แก่ นมสด นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนื้อสัตว์สด ปลาสด ไข่ อาหารพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็งบางประเภท และยา ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่อันตราย เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ และเชื้อรา
หลังวัน EXP ผ่านไปแล้ว ห้ามบริโภคเด็ดขาด แม้ว่าอาหารอาจดูปกติก็ตาม เพราะเชื้อโรคบางชนิดไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และอาจไม่มีกลิ่นหรือรสชาติที่ผิดปกติ การบริโภคอาหารหมดอายุอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาหารเป็นพิษ หรือปัญหาสุขภาพร้าย แรงอื่นๆ ได้
ดังนั้น เมื่อพบว่าผลิตภัณฑ์หมดอายุแล้ว ควรทิ้งทันทีไม่ลังเลใจ แม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดใช้งานก็ตาม เพราะการเสี่ยงกับสุขภาพไม่คุ้มกับความประหยัดเงิน
การจำแนกประเภทอาหารตามป้ายวันที่
เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจมากขึ้น การจำแนกอาหารตามลักษณะของวันที่บนฉลากสามารถแบ่งได้ดังนี้
อาหารที่ใช้ “ควรบริโภคก่อน” (BBE/BBF):
- ขนมขบเคี้ยวแบบแห้ง เช่น บิสกิต ขนมปังกรอบ
- ช็อกโกแลตและลูกอม
- เครื่องปรุงรสแห้ง เช่น เกลือ พริกป่น
- ข้าวสาร แป้ง น้ำตาล
- อาหารกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง
- น้ำมันปรุงอาหาร
- ชาแห้ง กาแฟผง
อาหารที่ใช้ “วันหมดอายุ” (EXP):
- ผลิตภัณฑ์นม เช่น นมสด นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนยแข็ง
- เนื้อสัตว์สด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
- ปลาสด และอาหารทะเล
- ไข่ไก่และผลิตภัณฑ์จากไข่
- อาหารพร้อมรับประทาน
- อาหารแช่แข็งที่มีเนื้อสัตว์
- ยาและอาหารเสริม
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางประเภท
ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดวันที่บนฉลาก
การกำหนดวันที่ “ควรบริโภคก่อน” หรือ “หมดอายุ” ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่
ชนิดของอาหาร เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุด อาหารที่มีความชื้นสูง เช่น ผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ จะเสี่ยงต่อการเจริญของเชื้อโรคมากกว่าอาหารแห้ง เช่น ขนมขบเคี้ยว เครื่องปรุงรสแห้ง
วิธีการแปรรูป อาหารที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง เช่น อาหารกระป๋อง จะมีอายุการเก็บรักษาที่ยาวนานกว่าอาหารที่แปรรูปน้อย เช่น นมสดพาสเจอไรส์
การบรรจุหีบห่อ บรรจุภัณฑ์ที่สามารถป้องกันอากาศ ความชื้น และแสงได้ดี จะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาของอาหาร เช่น บรรจุภัณฑ์สูญญากาศ บรรจุภัณฑ์ที่มีฟิล์มกันอากาศ
สภาพการเก็บรักษา อุณหภูมิ ความชื้น และแสงมีผลต่อการเสื่อมสภาพของอาหาร อาหารที่ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิต่ำจะมีความเสี่ยงสูงกว่าอาหารที่เก็บรักษาในอุณหภูมิห้อง
ส่วนประกอบของอาหาร อาหารที่มีโปรตีนและไขมันสูงจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นหัก ส่วนประกอบหลัก เนื่องจากโปรตีนและไขมันเป็นสารอาหารที่เอื้อต่อการเจริญของเชื้อโรค
ผลกระทบทางกฎหมายของการขายอาหารหมดอายุ
การขายของหมดอายุ “ผิดกฎหมาย” หรือไม่ เป็นคำถามที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคสนใจ ตามกฎหมายไทย การขายอาหารหมดอายุอาจเข้าข่าย “อาหารที่ไม่ปลอดภัยในการบริโภค” ตามมาตรา 25(4) ของพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ซึ่งหมายรวมถึงอาหารที่หมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพจนไม่เหมาะแก่การบริโภค
บทลงโทษตามกฎหมาย ผู้ที่ขายอาหารไม่ปลอดภัยอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ไม่ได้กำหนดให้การขายอาหารหมดอายุเป็นความผิดโดยตรง แต่ต้องพิสูจน์ได้ว่าอาหารดังกล่าวมีการเปลี่ยนสภาพหรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคจึงจะมีโทษตามกฎหมาย
กรณีพิเศษที่มีโทษชัดเจน ยกเว้นกรณีที่อาหารที่หมดอายุนั้นมีสารอันตรายต่อสุขภาพปะปนอยู่และเห็นได้ชัดเจน เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย หรือสารพิษอันเนื่องมาจากการหมดอายุจะเข้าข่ายเป็น “อาหารไม่บริสุทธิ์” ตามมาตรา 26(1) ซึ่งมีบทลงโทษเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ การขายอาหารหมดอายุยังอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ในฐานะการขายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
คำแนะนำสำหรับผู้บริโภค
การตรวจสอบก่อนซื้อ ผู้บริโภคควรตรวจสอบวันที่บนฉลากอาหารทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวันที่ยังไกลที่สุด และตรวจสอบสภาพบรรจุภัณฑ์ว่าไม่มีรอยฉีกขาด บุบสลายหรือเป่าพอง
การเก็บรักษาที่บ้าน ปฏิบัติตามคำแนะนำการเก็บรักษาบนฉลาก เช่น เก็บในอุณหภูมิเย็น หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือเก็บในภาชนะที่ปิดมิดชิด การเก็บรักษาที่ถูกต้องจะช่วยรักษาคุณภาพและยืดอายุการใช้งานของอาหาร
การใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบ สำหรับอาหารที่ผ่านวัน BBE/BBF แล้ว ควรใช้ดู กลิ่น ลิ้มรส และสัมผัสเพื่อประเมินคุณภาพก่อนบริโภค หากพบสิ่งผิดปกติใดๆ ควรงดบริโภค
การจัดการอาหารในครัวเรือน ควรจัดเก็บอาหารตามหลัก FIFO (First In First Out) คือใช้ของที่ซื้อมาก่อนให้หมดก่อน และติดป้ายวันที่เปิดใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เปิดใช้แล้ว เช่น ซอสต่างๆ เครื่องปรุงรส
ความสำคัญของการศึกษาฉลากอาหาร
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง BBE/BBF และ EXP ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปัญหาการสิ้นเปลืองอาหารอีกด้วย หลายครั้งที่อาหารยังบริโภคได้แต่ถูกทิ้งไปเพราะผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับวันที่บนฉลาก
การลดปัญหาขยะอาหาร ประเทศไทยมีปัญหาขยะอาหารจำนวนมาก ส่วนหนึ่งมาจากการทิ้งอาหารที่ยังบริโภคได้เพราะผ่านวัน BBE/BBF การให้ความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยลดปัญหานี้ได้
การประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้บริโภคที่เข้าใจความแตกต่างจะสามารถใช้งบประมาณซื้ออาหารได้อย่างคุ้มค่า โดยไม่ต้องทิ้งอาหารที่ยังดีอยู่
การรักษาสุขภาพ ที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจากการบริโภคอาหารที่ไม่ปลอดภัย การปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากอย่างถูกต้องจะช่วยรักษาสุขภาพของตนเองและครอบครัว
บทสรุป
ความแตกต่างระหว่าง “ควรบริโภคก่อน” (BBE/BBF) และ “หมดอายุ” (EXP) เป็นความรู้พื้นฐานที่ผู้บริโภคทุกคนควรเข้าใจ BBE/BBF เน้นไปที่คุณภาพของอาหาร ส่วน EXP เน้นไปที่ความปลอดภัย การเข้าใจอย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม ทั้งในด้านสุขภาพ การเงิน และสิ่งแวดล้อม
สิ่งสำคัญคือ ผู้บริโภคควรศึกษาฉลากอาหารอย่างละเอียด ปฏิบัติตามคำแนะนำการเก็บรักษา และใช้วิจารณญาณร่วมกับประสาทสัมผัสในการประเมินคุณภาพของอาหารก่อนบริโภค เพื่อสุขภาพที่ดีและการใช้ชีวิตที่ปลอดภัย
การให้ความรู้เรื่องนี้แก่สมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ จะช่วยสร้างสังคมที่มีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความปลอดภัยทางอาหาร ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยในระยะยาว