คาด “จีน” มีแนวโน้มเติบโตแซงหน้า “สหรัฐ” ขึ้นเป็น “เบอร์หนึ่งเศรษฐกิจโลก” ภายในปี 2571

Exclusive ข่าวเศรษฐกิจ

(26 ธ.ค.63) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ว่ารายงานวิเคราะห์ประจำปีโดยศูนย์วิจัยทางธุรกิจและเศรษฐกิจ ( ซีบีอีอาร์ ) ของมหาวิทยาลัยบอลล์สเตท ในเมืองมันซี รัฐอินดีแอนา ว่าบรรยากาศของเศรษฐกิจโลกเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน มาเป็นเวลานานระยะหนึ่งแล้ว

อย่างไรก็ตาม วิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างและยืดเยื้อ บ่งชี้ว่าจีนมีทักษะและความสามารถในการบริหารจัดการ ตลอดจนการฟื้นฟูเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้ดีกว่าสหรัฐ โดยในขณะที่เศรษฐกิจของอเมริกาซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างยอดเยี่ยมในปี 2564 แต่จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1.9% ระหว่างปี 2565 ถึง 2567 แล้วลดลงอีกเหลือ 1.6% หลังจากนั้น

ทั้งนี้ ซีบีอีอาร์คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนไว้ระดับ 5.7% ต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2564 ถึง 2568 ก่อนชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.5% ต่อปี ระหว่างปี 2569 ถึง 2573 หมายความว่าจีนจะแซงสหรัฐขึ้นสู่การเป็นประเทศซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ภายในปี 2571 เร็วกว่าที่มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ 5 ปี

ด้านญี่ปุ่นยังคงอยู่ในอันดับ 3 ของการเป็นประเทศมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก แต่มีแนวโน้มที่อินเดียจะชึ้นมาแซงภายในอีก 1 ทศวรรษข้างหน้า และเยอรมนีจะหล่นจากการเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ลงไปอยู่ที่อันดับ 5

ขณะที่สหราชอาณาจักรแม้จะพ้นจากระบบเศรษฐกิจตลาดเดียวของสหภาพยุโรป ( อียู ) ในวันที่ 31 ธ.ค. นี้ แน่นอนว่าเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะชะลอตัวไปบ้างในระยะแรก อย่างไรก็ดี ซีบีอีอาร์ประเมินมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ของสหราชอาณาจักรจะสูงกว่าของฝรั่งเศส 23% ภายในปี 2578 ซึ่งเป็นผลจากการที่สหราชอาณาจักรปฏิรูปนโยบาย “เศรษฐกิจดิจิทัล”

ส่วนผลลผลิตทางเศรษฐกิจของอียูซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนคิดเป็น 19% ของทั้งโลก จะลดลงเหลือ 12% ภายในปี 2578 ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงจากภาวะเบร็กซิต  นอกจากนี้ หลายประเทศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้การกู้ยืมเงินมหาศาลที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เพื่อใช้รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของตัวเอง ให้สามารถฝ่าฟันวิกฤติด้านสาธารณสุขครั้งนี้ไปได้.

เครดิตภาพ : Reuters
เครดิตข่าว : https://www.dailynews.co.th/foreign/815139