เฉี่ยวชนท้ายกระบะในที่เปลี่ยว ถูกคนขับกระบะลากไปข่มขืนข้างทาง

ข่าวอาชญากรรม ภัยสังคม

จากกรณีที่เมื่อเวลา 23:18 น.วันที่10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มีผู้ใช้เฟสชุ๊คชื่อ TK Tassaneeya โพสข้อความพร้อมคลิปและภาพนิ่ง รถจักรยานยนต์ และภาพคนเจ็บในโรงพยาบาลว่า

”อุบัติเหตุรถชนกัน ผู้หญิงเจ็บแต่ไอ้เฮี้ยเห็นผู้หญิงเจ็บมันลากไปข่มขืน พอไปแจ้งความ ตำรวจปล่อยมันออกมา นี่มันถูกหรือผิด? ตกลงคดีข่มขืนเป็นเรื่องธรรมดา อุบัติเหตุรถจักรยานจนชนท้ายรถกระบะ ผู้หญิงขับจักรยานยนต์ได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้ชายคนขับกระบะแทนที่จะพาส่งโรงพยาบาล กลับลากไปข่มขืนข้างทาง พอไปแจ้งความกับตำรวจ ฝ่ายชายยอมรับสารภาพว่าข่มขืนจริง และผลการตรวจภายในก้อยืนยันว่าถูกข่มขืนจริง แต่ทำไมตำรวจถึงปล่อยตัวมันกลับบ้าน ทุกวันนี้ผู้หญิงโดนข่มขืนกลายเป็นเรื่องปรกติหรือ

ต่อมาเวลา 10.30 น.วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้สื่อข่าวได้ประสานกับคนที่โพสภาพและข้อความดังกล่าว ซึ่งทราบว่าเป็นพี่สาวของคนเจ็บ ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ไปพบกับคนเจ็บและครอบครัว ที่อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ซึ่งเมื่อไปถึงทาบ้านคนเจ็บชื่อว่านางสาวเอ อายุ 21 ปี นอนอยู่บนแคร่ เพื่ออุ่นร่างกายด้วยสมุนไพรและไฟจากถ่าน เพื่อให้ร่างกายที่บอบช้ำดีขึ้น โดยมีพ่อแม่และพี่สาวคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

นางสาวเอ เปิดเผยถึงเหตุการณ์ในคืนเกิดเหตุว่า เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่อยู่ห่างจากบ้านตัวเองกว่า 10 กม.มีการดื่มกิน และยอมรับว่ามีอาการเมาเล็กน้อย แต่ก็สามารถขับกลับบ้านได้ ถึงช่วงเย็นจึงขับขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน ออกจากบ้านเพื่อนมาประมาณ 6 กม.ก็เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนท้ายรถยนต์กระ ยี่ห้อนิสสัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งจอดเปิดไฟเลี้ยวซ้าย แต่ยังไม่เลี้ยว จึงตัดสินใจแซงขวา เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกัน และรถจักรยานยนต์ลมกลางถนน

ขณะนั้นมีชายหญิงขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมาประสบเหตุ เพื่อจะเข้าช่วยเหลือ แต่ชาย อายุประมาณ 25-30 ปี ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์กระบะลงมาดูและบอกว่า จะดูแลและช่วยเหลือเอง ชายหญิงคู่ดังกล่าวเห็นว่าไม่มีอะไร จึงพากันขี่รถจักรยานยนต์ จากไป

แต่หลังจากชายหญิงคู่ดังกล่าวจากไปแล้วชายคนขับรถยนต์กระบะได้ลากเข้าไปในป่าข้างทางและทำการข่มขืนจนสำเร็จความใคร่”

“ช่วงที่รถเกิดอุบัติเหตุ ร่างกายด้านซ้ายกระแทกพื้น และรถจักรยายยนต์ก็ล้มทับขาซ้าย ขณะนั้นมีพลเมืองดีผ่านมาพบเจอ แต่คนขับรถยนต์บอกว่า จะช่วยเหลือและดูแลหนูเอง พลเมืองดีน่าจะเห็นว่าคู่กรณีตกลงกันได้ เขาก็เลยขับขี่รถไปต่อ ในขณะเดียวกันก็โทรศัพท์บอกเพื่อน บอกพี่สาวว่าเปิดอุบัติเหตุ แต่ช่วงจังหวะนั้นหนูปวดฉี่ หนูจะเดินไปฉี่ที่ป่าข้างทาง ชายคนขับรถยนต์ได้เข้ามาช่วยพยุงพาเดินไปฉี่ เมื่อหนูฉี่เสร็จ คนขับรถยนต์ได้ปลุกปล้ำและทำการข่มขืนในป่าข้างสระน้ำ หนูพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้ แต่หนูเจ็บเนื้อตัว ที่เกิดจากอุบัติเหตุ จึงไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้ ทำให้คนร้ายใช้กำลังข่มขืนจนสำเร็จ

หลังจากนั้นคนขับรถยนต์พยายามจะหนี หนูจึงรั้งเอาไว้ด้วยการนั่งที่เบาะคนขับ ประมาณ 30 นาที เพื่อนและพี่สาวมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งขณะนั้นหนูยังไม่กล้าบอกพี่สาวว่าตัวเองถูกข่มขืน

ส่วนคนขับรถยนต์เรียกญาติพี่น้องมาเคลียร์เรื่องอุบัติเหตุและเห็นว่าหนูมีอาการเมา จึงได้เรียกตำรวจมาที่เกิดเหตุ จะจ่ายค่าทำขวัญให้ 500 บาท แต่ตกลงกันไม่ได้ ตำรวจจึงให้ไปที่ สภ.สีชมพู และส่งไปตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่รพ.สีชมพู พบปริมาณแอลกอฮอล์ ตำรวจจึงแจ้งข้อหากับหนูในข้อหาเมาแล้วขับ

จังหวะดังกล่าวหนูจึงตัดสินใจบอกพี่สาวว่า ถูกคนขับรถยนต์ข่มขืนในป่าข้างทาง ใกล้จุดที่เกิดอุบัติเหตุ พี่สาวจึงได้แจ้งตำรวจ ตำรวจจึงนำตัวคนขับรถยนต์ไปสอบสวน ซึ่งคนขับรถยนต์ก็รับสารภาพว่า ข่มขืนหนูจริง

ตำรวจได้ส่งตัวหนูไปตรวจภายในที่รพ.สีชมพูอีกครั้ง ซึ่งแพทย์ก็บอกว่า พบคราวอสุจิและมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศจริง แต่ตำรวจก็ปล่อยตัวคนขับรถไป ซึ่งหนูขอยืนยันว่า หนูจะไม่ยอมความและขอให้ตำรวจจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ถึงที่สุด”

ทางด้าน นางสาวบี อายุ 32 ปี พี่สาวผู้เสียหาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า วันที่ 10 ก.พ.น้องสาวบอกทางบ้านว่าจะไปกินเลี้ยงที่บ้านเพื่อน จนถึงเวลามืดค่ำก็ยังไม่กลับบ้านจึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ออกตามหา กระทั่งรับแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุ บนถนนสายสีชมพู ไปชุมแพ พื้นที่บ้านนายม ต.สีชมพู อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 6 กม.

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ เห็นรถจักรยานยนต์น้องจอดอยู่ข้างทาง ส่วนรถยนต์กระบะจอดหันหน้าไปทางอ.ชุมแพ มีชายอายุประมาณ 25-30 ปี เป็นคนขับ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบเรื่องที่คนขับรุยนต์ข่มขืนน้องสาว ทราบเพียงว่าเกิดอุบัติเหตุเพราะน้องสาวมีอาการเมาสุรา ขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนท้ายรถยนต์ น้องสาวถูกตำรวจ สภ.สีชมพู นำตัวไปตรวจวัดแอลกอฮอล์ และพบว่ามีแอลกอฮอล์ในเลือด จึงถูกจับในข้อหาเมาแล้วขับ และให้ไปเสียค่าปรับที่ศาล ซึ่งในเรื่องนี้ทางครอบครัวยอมรับ เพราะน้องสาวเมาจริง

“ครอบครัวไม่รู้เลยว่าน้องสาวถูกข่มขืน กระทั่งถึง สภ.สีชมพู น้องสาวจึงบอกว่าคนขับรถยนต์ข่มขืนในป่าข้างทาง เมื่อรู้จึงรีบแจ้งตำรวจให้จับกุมคนขับรถยนต์รายดังกล่าว ซึ่งตำรวจได้นำตัวไปสอบสวน คนขับรถยนต์ก็สารภาพว่า ได้ข่มขืนน้องสาวเราจริง ในขณะเดียวกันก็ส่งตัวน้องสาวเราไปตรวจร่างกาย ตรวจภายในที่รพ.แพทย์แจ้งด้วยวาจาว่า มีคราบอสุจิและมีร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ

แต่ตำรวจ สภ.สีชมพูกลับปล่อยตัวคนขับรถยนต์ไป โดยไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ ทั้งยังบอกกับทางครอบครัวว่า ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่สามารถจับกุมตัวได้ จึงเป็นที่คลางแคลงใจเป็นอย่างมากว่า คนร้ายรับสารภาพต่อหน้าแท้ๆยังไม่สามารถทำอะไรได้ และยังไม่มีการสอบปากคำ ไม่มีการรับแจ้งความใดๆจึงอยากฝากถึงผู้บังคับบัญชาของตำรวจสภ.สีชมพูว่า ช่วยให้ความเป็นธรรมกับน้องสาวและครอบครัวเราด้วย คนร้ายรับสารภาพขนาดนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ยังปล่อยคนร้ายกลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และขอยืนยันว่า ครอบครัวเราจะเอาเรื่องตามกฏหมายให้ถึงที่สุด ไม่มีการไกล่เกลี่ย ยอมความเด็ดขาด”

ในเวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้สอบถามรายละเอียดต่างที่เกี่ยวกับกรณีน้องเอ ถูกคู่กรณีข่มขืน จาก พ.ต.อ.จำรัส ไชยศักดิ์ ผกก.สภ.สีชมพู ว่า กรณีของนาวสาวเอนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ต้องแยกออกเป็น 2 กรณีคือ กรณีเมาแล้วขับและกรณีข่มขืนอนาจาร

ในส่วนของเมาแล้วขับนั้น มีการแจ้งข้อหากับนาวสาวเอไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนกรณีข่มขืนนั้น ถึงจะแพทย์ร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็ใช่ว่าจะเป็นการข่มขืน ซึ่งในจุดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องรวบรวมพยาน หลักฐาน และสอบสวนรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากว่าการข่มขืนนั้นก็ต้องดูในรายละเอียดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นสมยอมหรือไม่ หรือข่มขืนด้วยเหตุใด แต่ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย