พระหลวงพ่อโต อยุธยา

พระกรุ

ที่อยุธยายังมีพระเครื่องอยู่สกุลหนึ่งที่มีชื่อต่อท้ายว่า โต โดยท่านจะมีลักษณะที่ โต กว่าพระเครื่องเกือบทุกชนิดแล้ว ยังรวมเลยไปถึงพระพุทธคุณของท่านก็ยัง โต ถึงขนาดยมบาลเจอเข้ายังเลี่ยงหนีทีเดียว นั่นก็คือ พระหลวงพ่อโต จากกรุเมืองอยุธยาซึ่งท่านจะได้ทราบเรื่องราวอันพิสดารจากคำว่า โต หรือ หลวงพ่อโต ได้ดังต่อไปนี้ครับ

อิทธิพลจากชื่อพระ หลวงพ่อโต

อันว่าพระเครื่องที่เราเรียกกันมานานแสนนานว่า หลวงพ่อโต นั้น ขอออกตัวกันไว้ก่อนว่าท่านไม่ใช่พระเครื่องระดับนายทุน ไม่ใช่ขวัญใจของนักล่าถ้วยรางวัล และก็ไม่ใช่พระเครื่องที่สมเด็จโตท่านสร้างไว้ด้วย

ขอย้ำไว้อีกครั้งว่า… ไม่ใช่พระเครื่องของสมเด็จพระพุฒาจารย์โตครับ

ก็อย่างที่เรารู้ ๆ กันนี้แหละ องค์พระหลวงพ่อโตท่านจึง โต มากอยู่ ผู้พบพระพิมพ์นี้คนแรกก็เลยขนานนามว่า หลวงพ่อโต ไว้ตั้งแต่นั้นมา แต่จากคำว่า โต เกิดไปปรากฏอยู่กับหลวงพ่อพิมพ์นี้เข้านี่เอง เลยทำให้เกิดช่องว่างขึ้นมาจนเป็นเหตุให้มากท่านต้องตกเป็นเหยื่อของ นักค้าพระ ตุ๋นเอาได้ในที่สุด

เขาว่าอย่างนี้ครับ…พระหลวงพ่อโตที่อยุธยาก็ดี ที่ตามวัดในกรุงเทพฯก็ดี หรือแม้แต่ที่วัดระฆังก็ตาม พระหลวงพ่อโตเหล่านั้นแหละ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ได้เป็นผู้สร้างขึ้นไว้ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นแล้วจะเรียกว่าหลวงพ่อ โต กันทำไม

คนฝอยเขาฝอยไว้เช่นนี้ ก็เลยเป็นเหตุให้บางวัดที่มีพระหลวงพ่อโตหลงเหลืออยู่ต่างก็ถือโอกาสออกโฆษณาปาว ๆ ว่า วัดนี้มีพระหลวงพ่อโต ที่สมเด็จโตสร้างไว้ให้เช่าจ้ะ โธ่, วัดก็ช่างพลอยไปกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ตัวอารามและเจดีย์ก็ได้มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีแล้ว

บางคนคุยเฟื่องหนักเข้าไปอีกว่า ไปพบ พระหลวงพ่อโต และ พระสมเด็จ จากกรุโน้นกรุนี้ที่อยุธยานั้น เป็นพระสมเด็จโตท่านสร้างไว้ ซึ่งได้จากเนินเจดีย์ แต่เจดีย์แห่งนั้นได้รกร้างมาเป็นเวลาร้อย ๆ ปี ก่อนที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตจะเกิดเสียอีก

ก็อย่างว่าแหละครับ, ถ้าลงมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เข้ามายุ่งเสียอย่าง อะไรละที่โลกนี้คนตอแหลจะโกหกกันไม่ได้ ก็ดูอย่าพระกรุถ้ำเขาฮ่วย เอ๊ย ถ้ำเขากรวย ที่ราชบุรีนั้นก็แล้วกัน พวกเล่นสร้างยัดกรุเข้าไว้เต็มถ้ำ แล้วบอกว่าสมเด็จโตท่านสร้างไว้ แต่ลงท้าย กลายเป็น พระมือผี ไป

พูดมากไปพวกปากไม่มีหมุด จะพลอยเกลียดขี้หน้าผมมากขึ้น จึงขอให้ท่านผู้อ่านหรือนักเลงพระผู้รอบคอบโปรดได้พิจารณาเอาเองก็แล้วกัน และจำไว้ให้มั่นว่า โตนี้มิใช่โต พรหมรังสี หลักฐานจากประวัติศาสตร์, โบราณคดี, และเนื้อหาความเก่าใหม่ของปฏิมากรรมขลังนั่นแหละ จะบอกให้ท่านรู้ได้ เรื่องจะเบี้ยวกันนั้น ท่านว่ายากนักแล

พุทธลักษณะ, เนื้อ, และศิลป

พระหลวงพ่อโต เป็นพระกรุซึ่งมีการนิยมสร้างกันมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยานานกว่า 400 ปีแล้ว พระพิมพ์นี้ได้ถูกสร้างลงกรุไว้อย่างมากมายหลายกรุ หลายหัวเมือง ต่อเมื่อถึงสมัยรัตนโกสินทร์ พระพิมพ์หลวงพ่อโตนี้ ถึงจะมีการสร้างกันบ้าง ก็เพียงเกจิอาจารย์บางท่านเท่านั้น และส่วนมากทำแล้วจะไม่ลงกรุ ทั้งพิมพ์และเนื้อของหลวงพ่อโตที่เกจิอาจารย์สร้างไว้ดังกล่าวนี้ จะต่างกับของกรุโบราณมากทีเดียว

พระหลวงพ่อโตเป็นพระเครื่องศิลปแบบอยุธยา ซึ่งดูเหมือนจะรับเอาอิทธิพลของจีนรวมเข้าไว้ด้วย แต่บางท่านก็ว่า พุทธลักษณะของพระหลวงพ่อโต ซึ่งพบที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี้ดูราวกับจะเป็นการประยุกต์กันระหว่างแบบนครศรีธรรมราช กับศิลปอยุธยารวมกันเข้าไว้อย่างกลมกลืนด้วยกระนั้น

พุทธลักษณะของพระหลวงพ่อโต ท่านจะอ้วนล่ำสันใหญ่โตกว่าพระเครื่องพิมพ์อื่น ๆ ทั้งหมด แต่ก็ไม่ถึงกับจะพุงพลุ้ยเช่นพระสังกัจจายน์เลย องค์พระส่วนมากจะมีขนาด 3 คูณ 3.5 ซ.ม. นอกจากนั้นยังมีชนิดเล็กลงไปอีก กับชนิดที่ใหญ่กว่าก็มี พระเครื่องพิมพ์หลวงพ่อโตทุก ๆ องค์ จะปรากฏซุ้มเรือนแก้วอยู่บนรูปสามเหลี่ยมมนโค้ง ซึ่งเป็นฉากแบบ 3 ขยัก มีลายกนกอยู่ขอบนอกด้านหลังพระส่วนองค์พระจะนูนเด่นออกมาเป็นพิเศษ พระเครื่องพิมพ์นี้จะมีทั้งชนิด ปางมารวิชัยและปางสมาธิ พระพิมพ์ หลวงพ่อโต ดังกล่าวนี้ ส่วนมากพระพักตร์จะอิ่มเอิบ พระเกศจะเป็นแบบฝาละมี และองค์พระจะอยู่ในลักษณะประทับนั่งแบบชัดราบอยู่บนบัว 2 ชั้น โดยพระทุกองค์จะเต็มไปด้วยความงามปรากฏอยู่ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว

นอกจากแบบปางสมาธิจะเป็นพิมพ์ที่นิยมกันมากแล้ว พระหลวงพ่อโตที่สมบูรณ์ตามแบบฉบับของนักเลงเก่าที่กำหนดไว้ จะต้องมีหลังเป็นลายกาบหมากด้วยจึงจะดี แต่พระบางองค์หลังราบเรียบไม่มีลายกาบก็มี และที่เป็นหลังแอ่งปรากฏลายมือรวมอยู่ด้วยก็เคยมีเช่นกัน และนอกจากพระหลวงพระหลวงพ่อโตจะมีสร้างเป็นเนื้อดินเผาแล้ว ที่ทำเป็นเนื้อผง, เนื้อว่าน, กับประเภทเนื้อชินปนตะกั่วก็มีสร้างไว้ด้วย สำหรับเนื้อชิน ค่อนข้างจะหายากสักหน่อย

เรื่องราวการพบหลวงพ่อโตนี้ มิใช่จะมีแต่ที่เมืองอยุธยาแห่งเดียวก็หาไม่ เพราะที่พิษณุโลกก็มี หรือที่เมืองกำแพงเพชรก็เคยมีผู้พบด้วยเช่นกัน สำหรับที่กรุงเทพฯนั้นจัดเป็นศูนย์รวมพระพิมพ์นี้ไว้อย่างมากมาย ทั้ง ๆ ที่พระเหล่านั้นต่างก็เป็นพระสมัยอยุธยาเกือบทั้งสิ้น ความเป็นมาอย่างไร, เหตุไฉนถึงเป็นเช่นนั้น ขอให้ท่านได้ติดตามเรื่องต่อไป เดี๋ยวก็รู้ครับ

พระ หลวงพ่อโต จากกรุอยุธยา

เมื่อประมาณ พ.ศ. 2500 พระหลวงพ่อโต ได้ถูกขนานนามว่า ของดีราคาถูก บรรดานักเลงพระมือใหม่ ๆ มักจะนิยมเช่าไว้เป็นปฐมศึกษา เพราะถ้าเกิดไปเจอเอาของปลอมเข้าก็ยังไม่ถึงกับต้องชีช้ำร่ำไห้กันยืดยาวหรอก ก่อนนั้นพระพิมพ์นี้อย่างดีก็องค์ละ 5 บาท 10 บาท เท่านั้นเอง นอกจากจะใช้ได้ผลแล้ว ยังเก็บเอาไว้ศึกษาดูเนื้อเก่าใหม่ได้ความรู้ผลคุ้มค่าทีเดียว

จะศึกษากันอย่างไรก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่า พระหลวงพ่อโตนี้เขามีหลายกรุหลายหัวเมืองและจะต้องรู้อีกด้วยว่ากรุวัดไหนที่เขานิยมกันมาก หรือกรุใดที่เขาไม่นิยม เพราะนั่นคือต้นทางที่เราจะรู้ไปถึงราคาการเช่าได้อย่างสบายมาก

ก็ด้วยเหตุนี้แหละ ผมจึงต้องนำท่านผู้อ่านไปสู่เมืองอยุธยาก่อน ซึ่งท่านจะพบกับพระหลวงพ่อโตพิมพ์ที่นิยมกัน และรองลงมากเป็นลำดับดังต่อไปนี้

· วัดตะไกร ตำบลสระบัว อยุธยา วัดตะไกร เป็นวัดโบราณมาแต่ครั้งกรุงเก่าปัจจุบันรกร้างคงเหลือไว้แต่ชื่อเท่านั้น การพบพระเครื่องจำนวนมากจากกรุวัดตะไกรเมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 นั้น นอกจากจะได้พระวัดตะไกรหน้าครุฑ หน้ามงคล หน้าฤาษีแล้ว ยังปรากฏว่า วัดนี้ยังมี พระหลวงพ่อโต ทั้งชนิดเนื้อดินและเนื้อชินปนตะกั่ว รวมขึ้นมาจากกรุมากมายด้วยเช่นกัน

เอ่ยถึง พระวัดตะไกร ประเภทพิชิตเขี้ยวเล็บงากันแล้ว ก็ต้องได้กับ พระวัดตะไกร หน้าครุฑ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาก และในจังหวะเดียวกันนั้น ถ้าเอ่ยถึง พระหลวงพ่อโต ของเมืองอยุธยากันแล้ว ไม่ว่าจะดูกันในด้านความงามหรือความขลังก็ตาม พระหลวงพ่อโตกรุวัดตะไกรนี้ นับเป็นพระอันดับ 1 ที่เหนือกว่ากรุอื่น ๆ ทั้งหมด

หลวงพ่อโตกรุนี้ เนื้อค่อนข้างละเอียด และมีแร่ทรายเงินทรายทองลอยเด่นให้เห็นเป็นระยับ และส่วนมากพระกรุนี้มักมีการลงรักปิดทองไว้ด้วย สำหรับขนาดของพระหลวงพ่อโตเนื้อดินกรุนี้ จะเล็กกว่าทุกกรุ คือประมาณ 3.3 คูณ 3 ซ.ม. เท่านั้น แต่ก็งามอย่าบอกใครเชียว

หลวงพ่อโตกรุวัดตะไกร จะมีความเป็นเอกลักษณ์อยู่ในองค์โดยไม่เหมือนกับพระกรุใดเลย นั่นก็คือ ที่ก้นจะต้องมีรูลึกเป็นรอยถูกเสียบด้วยหญ้าคาไว้ทุกองค์และที่น่าแปลกใจมากก็คือ พระหลวงพ่อโตวัดตะไกรนี้ พิมพ์ส่วนมากมักจะเป็นแบบปางมารวิชัย ส่วนปางสมาธิจะมีหรือเปล่าก็สงสัยอยู่ เพราะตั้งแต่ผมสนใจกับพระพิมพ์นี้มาก็ยังไม่เคยเจอเลย นอกเสียจากที่กรุวัดอื่น ๆ เท่านั้น

สำหรับประเภทเนื้อชินปนตะกั่วนอกจากมีขึ้นจากกรุ เมื่อปี พ.ศ. 2470 แล้ว พอถึงปลายปี พ.ศ. 2506 ก็มีผู้ไปพบกับพระหลวงพ่อโตเนื้อนี้เข้าอีกเพียง 10 กว่าองค์เท่านั้น พระเนื้อชินปนตะกั่วกรุนี้จะมีสนิมไขขาวหุ้มไว้ค่อนข้างหนาทุกองค์และนอกจากนั้นยังมีทองสีเหลืองซีด ๆ เกาะติดเป็นขุยอยู่ตามผิวพระเพียงรำไรไว้ด้วยเช่นกัน ส่วนขนาดจะใหญ่กว่าชนิดเนื้อดินทุก ๆ กรุคือ 3 คูณ 4 ซ.ม. กับ 3.4 คูณ 4.3 ซ.ม. ซึ่งนับว่าใหญ่เป็นพิเศษขึ้นไปอีก

· วัดบางกระทิง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระหลวงพ่อโตซึ่งได้จากกรุวัดบางกระทิงนี้ นับว่ามีชื่อเสียงมากอีกเช่นกัน แต่ราคาไม่แพงถึงใจอะไรเลย จึงเป็นพระเครื่องระดับ ขวัญใจคนยาก อยู่ตลอดมา ทั้งนี้ก็เพราะพระมีขึ้นจากกรุมากมายเป็นหมื่น ๆ องค์นั่นเอง

พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง จะมีขนาดใหญ่กว่ากรุวัดตะไกรเล็กน้อย คือ 3.2 คูณ 3.6 ซ.ม. พุทธลักษณะทรวดทรงองค์พระจะอวบอัดล่ำสันกว่า แต่ในด้านความงามคมชัดเจนกันแล้ว ยังแพ้กรุวัดตะไกรอยู่ พระกรุนี้เนื้อจะมีสองชนิดคือชนิดเนื้อหยาบมีกรวดทรายปนมาก กับชนิดเนื้อละเอียด ดินจะค่อนข้างนุ่ม นอกจากนั้นยังนับว่าพระกรุนี้มีสีมากกว่าของกรุอื่น ๆ อีกด้วย เช่นมี สีแดง, เหลือง, เขียวและสีดำมีครบทั้ง 4สีทีเดียว

พระหลวงพ่อโตกรุวัดบางกระทิงเป็นพระที่สร้างลงกรุไว้ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกนานมาแล้ว แต่เพิ่งจะถูกคนร้ายลอบเข้าไปเปิดกรุเมื่อ พ.ศ. 2504 นี่เอง เล่ากันว่าเพียงแต่คนร้ายที่ย่องเปิดกรุแล้วไปพบกับพระหลวงพ่อโตเข้าเท่านั้น ก็ถึงกับผละหงายไม่เชื่อตาเอาทีเดียว เพราะนอกจากจะมีพระบรรจุอยู่ ในตุ่มหลายใบแล้ว พระหลวงพ่อโต อีกหลายพันองค์ยังมีกองอยู่เกลื่อนกลาดอยู่ในกรุนั้นอีกด้วย

จากการพบพระหลวงพ่อโตที่อยู่ในกรุอย่างมากมายนั้น เป็นพระพิมพ์หลวงพ่อโตทั้งสิ้นถึงขนาดคนร้ายได้ขนพระไปได้เป็นลำเรือแล้วของยังไม่หมด ผลสุดท้ายพอทางวัดรู้เรื่องเข้า จึงจัดการขนพระขึ้นจากกรุต่อจากคนร้ายได้มาอีกเป็นหมื่น ๆ องค์ เช่นกันและจากความมากมายของ พระหลวงพ่อโต กรุนี้นี่เอง เราจึงไม่พบพระชนิดที่ลงรักปัดทองเลยแม้แต่สักองค์เดียว แต่ก็ได้พบชนิดเนื้อว่านหลงอยู่ในกรุบ้างก็เพียงไม่กี่องค์เท่านั้น

พระพุทธคุณ เหนือมัจจุราช

เรื่องราวของพระหลวงพ่อโต พระเครื่องที่กำเนิดเมื่อครั้งสมัยอยุธยานี้ ยังมีเรื่องคุยกันต่อไปอีกมาไม่รู้จบสิ้น แต่ก็เห็นจะต้องขอพักไว้แค่นี้ก่อนเพราะขืนขยับต่อไปเห็นจะไม่ยอมจบนี้แน่ จึงเอาเป็นว่า เราย้อนกลับมาดูความเกรียงไกรในพุทธคุณของท่านต่อไปดีกว่า แล้วก็โปรดทราบเสียก่อนด้วยว่า เดี๋ยวนี้พระหลวงพ่อโตต่างก็ยังคงมีการเช่ากันด้วยราคาในระดับเงินร้อยเท่านั้น บอกไว้กันฟิตเมื่ออ่านบทส่งท้ายนี้จบแล้วแต่ก็อีกนั่นแหละ, ท่านควรระวังไว้ให้มาก เพราะพระหลวงพ่อโตนี้เขาทำเก๊กันไว้จมไปเลยครับ

เมื่อประมาณ พ.ศ. 2509 ผมได้มีโอกาสคุยกับนายทหารชั้นร้อยโทผู้หนึ่ง ซึ่งสำเร็จไปจาก จ.ป.ร. ไม่นานนัก เขาเล่าให้ผมฟังว่า วันหนึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่อยุธยา และในคืนวันเดียวกันนั้นเองเขากับเพื่อนได้ไปเที่ยวในตัวเมืองอยู่จนดึก ขากลับก็ให้บังเอิญเป็นคืนเดือนมืดพอดี ขณะเดินผ่านที่เปลี่ยวตอนใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วนั้น ก็ได้ยินเสียง แชะ แชะ แชะ ดังขึ้น 3 ครั้ง หูของนายทหารย่อมผ่านการฝึกอาวุธมาอย่างดีแล้ว เขาย่อมจะฟังเสียงนกปืนสับ แล้วไม่มีเสียงระเบิดนั้นได้อย่างดี เขารู้ว่าขณะนั้นได้มีคนลอบยิงเขาเสียแล้ว แต่แทนที่เขาทั้งสองจะวิ่งหนีหลบไปเสีย เขากลับโดดสวนไปทางเสียงปืนนั้นทันทีแต่ก็ไม่ทันคนร้ายซึ่งเห็นท่าไม่เหมาะ และได้โจนหนีวิ่งป่าราบหายไปกับความมืดนั้นเสียแล้ว

พอรุ่งเช้าก็มีคนมาบอกเขาว่า เจ้าคนร้ายที่ลอบยิงเขาทั้งสองเมื่อคืนนั้น ความจริงมันต้องการจะยิงเพื่อนเขา ซึ่งเคยเป็นคู่แค้นกันมาก่อนมากกว่า ทั้งยังได้ส่งคนเข้าไปสืบดูว่า ทำไมคู่แค้นของมันมีอะไรดีนัก เพราะคืนนั้นยิงตั้ง 3 ครั้ง กระสุนไม่ยอมลั่นเอาเลย เรื่องนี้ภายหลังได้มีผู้ขอดูพระที่เพื่อนเขาห้อยคออยู่ จึงรู้ว่าพระผู้สำแดงมหาอุตม์หยุดกระสุนปืนได้ในครั้งนั้นก็คือ พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เพียงองค์เดียวที่เพื่อนเขาเคยเช่าไว้เพียง 10 บาทเท่านั้น

และนี่ก็คือหนึ่งในอีกหลายสิบรายที่ได้ประสบการณ์จากพระหลวงพ่อโตเมืองอยุธยากันไปแล้วอย่างน่าระทึกใจยิ่ง ใครที่เข้าใจว่า ถ้าห้อยพระหลวงพ่อโตแล้ว จะทำให้ใจโตตัวโต จนผลสุดท้ายต้องกลายเป็นนักเลงโตไปในที่สุดนั้น เดี๋ยวนี้เป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วเพราะมากท่านที่เอาตัวเข้าพิสูจน์ก็มักจะพบแต่ว่า พระหลวงพ่อโตเป็นพระเครื่องที่ให้การแคล้วคลาด, คงกระพันชาตรี, และมีมหาอุตม์หยุดมัจจุราชได้อีกทางหนึ่งด้วย

โดยอาจารย์ ประชุม กาญจนวัฒน์